โลกในมุมมองของ Value Investor     26 ธันวาคม 63

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

            เหตุการณ์ในตลาดหุ้นช่วงเร็ว ๆ  นี้และโดยเฉพาะเมื่อวันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมาที่หุ้นขนาดใหญ่และใหญ่มากอย่างน้อย 2 ตัวมีราคาปรับตัวขึ้นเกือบถึงเพดานที่ 30% ในวันเดียวโดยที่บริษัทไม่ได้มีข่าวอะไรเป็นพิเศษ  ว่าที่จริงในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา  หุ้นใหญ่และกลางหลาย ๆ ตัวก็มีการปรับตัวขึ้นสูงมากและบางตัวก็ปรับขึ้นถึงเพดานในวันเดียวอยู่บ่อย ๆ  โดยที่ไม่ได้มีข่าวหรือมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเป็นพิเศษ  อาการที่เกิดขึ้นนั้นผมลงความเห็นว่าหุ้นเหล่านั้นอาจจะถูก “Corner” หรือถูก  “ต้อนเข้ามุม” เพราะหุ้นถูกซื้อด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเมื่อเทียบกับ Free Float หรือหุ้นที่หมุนเวียนซื้อขายกันในตลาดส่งผลให้ราคาปรับตัวขึ้นไปแรงมากโดยไม่ได้อิงกับมูลค่าที่แท้จริงที่คิดจากผลประกอบการของบริษัทในอนาคต  แต่ราคาขึ้นไปเพราะคนซื้อที่เป็นนักเก็งกำไรที่เข้ามาซื้อเพราะคิดว่าหุ้นจะต้องขึ้นต่อไป  ส่วนคนแรก ๆ  ที่เข้าไปซื้อนั้น  อาจจะมองจากพื้นฐานของกิจการเมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่ยังอาจจะ “ไม่แพง”  ก็ได้  หรือบางที  ซึ่งอาจจะมากกว่า ก็คือ  เข้าไป  “ปั่น” โดยการ “กระชากราคา” และ “ซื้อหุ้นต่อเนื่อง” จนหุ้นเหลือน้อยลงและราคาวิ่งขึ้นไปเร็วและแรงขึ้นเรื่อย ๆ  จนในที่สุดก็ดึงดูด “นักเล่นเก็งกำไร” ซึ่งมีอยู่มากมายในตลาดหุ้นไทยเข้ามา “ร่วมวงเล่น”  ผลก็คือ  หุ้น “วิ่งทะลุฟ้า”

          ราคาหุ้นที่ถูกคอร์เนอร์นั้น  จะไปถึงไหน?  ผมคงบอกไม่ได้  แต่อยากเล่าประวัติศาสตร์ของหุ้น โฟล์กสวาเก้นในตลาดหุ้นเยอรมันในช่วงปลายปี 2008 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤติตลาดหุ้นทั่วโลก  ในช่วงนั้นหุ้นโฟล์กกลับไม่ตกลงมาเนื่องจากเจ้าของ “แอบ” เข้าไปช้อนซื้อไว้จำนวนมากเพื่อหวังจะเทกโอเวอร์ซึ่งจะต้องมีหุ้นถึง 80% ในขณะเดียวกัน  นักลงทุนจำนวนมากก็เข้าไปขายชอร์ตเซลเนื่องจากเห็นว่าราคาหุ้นยืนอยู่ได้แบบ “ไม่สมเหตุผล”  เพราะหุ้นทั่วโลกกำลังเจ๊ง  เฉพาะอย่างยิ่งหุ้นรถยนต์  จนถึงวันหนึ่งเมื่อบริษัทผลิตรถพอร์ซซึ่งเป็นเจ้าของต้องประกาศตัวว่ากำลังเทคโอเวอร์  คนที่ขายชอร์ตเซลซึ่งมีจำนวนประมาณ 12% ของหุ้นทั้งหมด   แต่หุ้นที่ยังหมุนเวียนในตลาดที่พอจะให้ซื้อได้นั้นมีแค่ 6%  ทำให้คนทำชอร์ตเซลตกใจต้องรีบแย่งกันซื้อหุ้นปิดสถานะชอร์ต  ซึ่งทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ในวันเดียวและก็วิ่งต่อไปอีกในวันต่อ ๆ มา  จนหุ้นทะลุเกือบ 1,000 ยูโร จากราคา ประมาณ 200 ยูโรไม่กี่วันก่อนหน้านั้น  และนั่นทำให้หุ้นโฟล์กสวาเก้นกลายเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดหรือมาร์เก็ตแค็ปใหญ่ที่สุดในโลกและใหญ่กว่าหุ้น เอ็กซอน  ปิโตรไชน่า  และไมโครซอฟท์  มีมูลค่าหรือ Market Cap.  420 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 12.6 ล้านล้านบาทไทย ในเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่วัน 

            หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น  หุ้นโฟล์กก็ตกลงมาอย่างแรง  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพอร์ซต้องยอมขายหุ้นให้กับคนที่ทำชอร์ตเซลไว้เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร  และเมื่อทุกอย่างผ่านไปและสถานการณ์ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิมรวมถึงราคาหุ้น  ในที่สุดพอร์ซเอง  ซึ่งเป็นคนที่ดูเหมือนว่าจะทำ Corner หุ้นเองและในเวลาอันสั้นไม่กี่วันก็น่าจะ “รวยมหาศาลระดับโลก” ก็ล้มละลาย  ส่วนสำคัญน่าจะมาจากการที่ต้องกู้เงินมหาศาลเพื่อเข้าไปซื้อหุ้นโฟล์ก  ในด้านของนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรเองนั้น  ต่างก็ขาดทุนหนักอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน  กองทุนโดยเฉพาะเฮดจ์ฟันด์หลายแห่งจะต้องจำเป็นบทเรียนไปตลอดชีวิต  และทั้งหมดนี้ก็คือ “อภินิหาร” ของหุ้นที่ถูก Corner  ซึ่งในกรณีนี้น่าจะ “ไม่ผิดกฎหมาย” อะไรเลย  เพราะทุกอย่างอยู่ใน “เกม” แม้ผลมันจะออกมาเหมือนกับการ  “ปั่นหุ้น” อย่างร้ายแรง  เพราะราคาหุ้นผิดไปจากราคาที่ควรจะเป็นมากโดยที่ไม่น่าจะหาเหตุผลทางพื้นฐานใด ๆ  มารองรับได้

            กลับมาที่ตลาดหุ้นไทยบ้าง  หุ้นหลาย ๆ  ตัวที่ผมคิดว่าถูก Corner ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้น  มี “วิวัฒนาการ” ที่มีขนาดใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ  อานิสงค์จากการที่ประสบความสำเร็จมาเรื่อย ๆ  ซึ่งก็ทำให้คนที่ทำร่ำรวยขึ้นมหาศาล  พวกเขาจึงสามารถเพิ่มขนาดของหุ้นที่ทำให้ใหญ่ขึ้นจนสามารถคอร์เนอร์หุ้นขนาดกลาง ๆ  ให้กลายเป็นหุ้นแสนล้านบาทได้  ความสำเร็จนั้น  จริง ๆ ก็ต้องบอกว่าเพราะตลาดหุ้นไทยมีสภาวะแวดล้อมที่เอื้อให้การทำ Corner นั้นง่ายขึ้นมาก  ประการแรกก็คือ  มัน  “ไม่ผิดกฎหมาย”  ทุกครั้งที่มีการตรวจสอบโดยตลาดหลักทรัพย์ก็จะ “ไม่พบความผิดปกติของการซื้อขายหุ้น”  สองก็คือ  การซื้อขายหลักทรัพย์เก็งกำไรในระยะเวลาสั้น ๆ  ไม่เสียภาษีจากกำไรรวมทั้งค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้นก็ต่ำมากสำหรับรายที่ซื้อขายหุ้นจำนวนมาก  สามก็คือ  เรามีการใช้ Leverage หรืออาศัยการกู้ในระดับที่สูงมาก  ตัวอย่างรวมถึงการทำบล็อกเทรดที่ทำให้สามารถเพิ่มวงเงินการซื้อหุ้นได้เป็น 10 เท่า  เป็นต้น  สี่ก็คือ  บริษัทจดทะเบียนจำนวนมากนั้น  มีหุ้นที่ซื้อขายหมุนเวียนค่อนข้างต่ำ  ส่วนหนึ่งก็คือ  เป็นหุ้นขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่  และในกรณีของหุ้นขนาดใหญ่เองนั้น  ก็ยังมีหุ้นที่มี Free Float ต่ำอยู่จำนวนหนึ่ง  อาจจะเนื่องจากเป็นบริษัทลูกของบริษัทหรือสถาบันขนาดใหญ่ที่จะไม่ขายหุ้นออกเพียงเพราะราคาหุ้นขึ้นมามากทั้งจากในและต่างประเทศ

            ข้อสุดท้าย  และน่าจะเป็นสภาวะที่สำคัญที่สุดก็คือ  การเข้ามาของนักลงทุนใหม่ ๆ ที่มีเงินสดมากแต่ไม่มีหนทางการลงทุนอื่นที่ดีและสะดวกเท่ากับตลาดหุ้น  พวกเขาเป็นคนรุ่นหนุ่มสาวที่มองหาการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนที่รวดเร็วและไม่ต้องการรอคอย  ดังนั้น  พวกเขาต้องการหุ้น “ร้อน” ที่มีสภาพคล่องสูงที่พร้อมจะซื้อขายทำกำไรได้ทันทีในอัตราที่สูงลิ่ว  และในภาวะแบบนี้  หุ้นที่ถูกคอร์เนอร์ก็เป็นหุ้นที่ใช่เลย!

          ความร้อนแรงของการ Corner หุ้นนับถึงวันนี้ก็ต้องบอกว่า  น่าจะใกล้ถึงจุดสุดยอด  เดิมทีนั้น  ดูเหมือนจะมีกฎอย่างหนึ่งว่า  เวลาจะคอร์เนอร์หุ้นตัวไหน  คนที่ทำหรือเป็นคน “เริ่มต้นแบบหวังผล” ก็มักจะเน้นว่าจะต้อง  “คุยกับเจ้าของหรือผู้บริหาร” ให้ชัดเจนก่อนว่ากิจการต้องดีแน่นอน  สตอรี่จะต้อง  “ขายได้”  ผู้บริหารจะต้อง “ร่วมมือ”  ในการ “เชียร์” หรือให้ข้อมูลที่ “ดีเลิศ”  บางทีก็ต้องยอมขายหุ้นล็อตใหญ่บางส่วนให้กับคนที่ทำในราคาตลาดขณะนั้น  และที่สำคัญก็คือ  เมื่อเริ่มทำแล้วก็ต้องไม่ขายหุ้นสวนลงมา  ถ้าจะให้ดีเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มเพื่อแสดงความมั่นใจ  หลังจากหุ้นขึ้นและ “ติดตลาด” แล้ว  การขายก็ควรขายให้กับสถาบันที่จะถือยาวเท่านั้น  ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยาก  เพราะเมื่อถึงวันนั้น  นักวิเคราะห์ก็จะออกมาเชียร์หุ้นกันอย่างเต็มที่

            ในขณะนี้  ผมคิดว่าการคุยกับผู้บริหารและการทำคำมั่นสัญญาต่าง ๆ  ดังที่กล่าว  น่าจะมีความจำเป็นน้อยลง  ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะบริษัท “เป้าหมาย” นั้นใหญ่ขึ้น  การพบผู้บริหารระดับสูงสุดยากขึ้นหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้  ดังนั้น  พวกเขาก็อาจจะมองถึง  “โครงสร้าง” ต่าง ๆ  ของบริษัทและ/หรือหุ้น ว่ามีลักษณะที่เอื้ออำนวยให้เข้าไปเล่นแบบคอร์เนอร์หุ้นได้มากน้อยแค่ไหน   เช่น  การดูว่าใครเป็นเจ้าของบริษัท  หุ้นมีฟรีโฟลทมากน้อยแค่ไหน    การดูเรื่องของผลประกอบการในอนาคตเองก็อาศัยการวิเคราะห์จากสถานการณ์และผลงานในอดีตของบริษัท  เป็นต้น  เมื่อได้ข้อมูลพร้อมแล้ว   เขาก็อาจจะเริ่มลงมือซื้อหุ้นนำ  และถึงจุดหนึ่งก็อาจจะต้อง  “กระชาก” เพื่อให้นักลงทุนในตลาดจับตามอง  หลังจากนั้น  ถ้า “จุดติด” ทุกอย่างในกระบวนการของการคอร์เนอร์ก็จะตามมาโดยอัตโนมัติ  ปัญหาต่อไปก็คือการ “ออกของ” หรือขายหุ้นทิ้งซึ่งจะเป็นศิลปะที่ต้องฝึกฝนกันมาก  เพราะบ่อยครั้ง  การทำให้หุ้นขึ้นนั้น  บางทีก็ไม่ยากเท่ากับการขายหุ้นจำนวนมากให้ได้ราคาสูงและไม่ตกลงมาก่อน

            ผมเองไม่เคยคิดที่จะคอร์เนอร์หุ้นเลย  ทุกครั้งที่ซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่ซื้อ “มากเกินไป” จนกลายเป็นการคอร์เนอร์โดยปริยาย  ผมคิดว่าการเข้าไปมากเกินไปนั้นก็มีความเสี่ยงสูงเพราะถ้าพลาดก็อาจจะ “ติดหุ้นยาว”  นอกเหนือจากนั้น  ผมเองคิดว่าการทำกำไรมาก ๆ  ในกรณีที่หุ้นขึ้นสูงแล้วเราขายไป  แต่สุดท้ายหุ้นตกกลับลงมาและทำให้คนที่เข้ามาซื้อหุ้นในราคาสูงขาดทุนหนัก  นี่เป็นเรื่องที่ขัดกับความรู้สึกที่ว่า  “เราไปกินเงินคนอื่น” แทนที่เราจะได้ผลตอบแทนจากผลงานของบริษัทเป็นหลัก  ผมชอบยึดคติว่าถ้าเราจะรวย  เราควรจะรวยจากการที่บริษัทที่เราเลือกทำผลงานได้ดีมากกว่า 

            สุดท้ายนี้  ผมเองก็ได้แต่มองดูว่า “พัฒนาการ” ของการ Corner หุ้นรอบนี้จะไปถึงไหน  เป็นไปได้ว่าเราอาจจะเจอหุ้นขนาดกลาง ๆ  กลายเป็นหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นไทยแบบเดียวกับหุ้นโฟล์กสวาเกนก็ได้  แต่สิ่งที่ผมมั่นใจก็คือ  เมื่อ Corner “แตก” ซึ่งก็คงจะเกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่ง  คนที่เข้าไปเล่นก็จะขาดทุนมหาศาลและจะต้องจำไปตลอดชีวิต  และผมก็เชื่ออีกเช่นกันว่า  กระแสการคอร์เนอร์ในตลาดหุ้นไทยก็คงจะต้องซบเซาลงและอาจจะต้องรออีกนานกว่ามันจะกลับมาอีกครั้ง  ปัญหาของผมก็คือ  ไม่รู้ว่าทุกอย่างที่พูดถึงนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไร