เปลี่ยนสนามการค้าให้เป็นสนามรบ

0
421

โลกในมุมมองของ Value Investor      14 มิถุนายน 2568

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ในเดือนสิงหาคมปี 2531 อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย “อย่างแท้จริง” คือพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ได้ประกาศนโยบาย  “เปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า” ซึ่งเป็นนโยบายที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งทางการทหารกับประเทศกัมพูชาและส่งเสริมการทำธุรกิจร่วมกันกับประเทศในกลุ่มอินโดจีน  สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านที่มักมีเหตุกระทบกระทั่งและรบกันที่เขตชายแดนมาตลอด

พลเอกชาติชายดำรงตำแหน่งนายกประมาณ 2 ปีครึ่ง  และเศรษฐกิจในช่วง 3 ปี  ตั้งแต่ปี 2531 เติบโตเกิน 10% ต่อปี ถึง 3 ปีติดต่อกัน  กลายเป็นประเทศที่เติบโต “สูงที่สุดในโลก”  

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสะท้อนการเติบโตของ GDP และการเปลี่ยนแปลงนโยบายและการเมืองของประเทศไทย  โดยการปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงจากประมาณ 450 จุดในช่วงที่มีการประกาศนโยบายเป็นกว่า 1,700 จุด ในช่วงปี 2537 หรือเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 4 เท่าในเวลา 5 ปีครึ่งเท่ากับผลตอบแทนทบต้นประมาณ 28% ต่อปี  และกลายเป็น “ยุคทอง”ของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย  ที่ร้อนแรงเกินไปจนต้องประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในปี 2540 

เวลาผ่านมา 37 ปีแล้ว  ขณะนี้ทุกอย่างในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถดถอยลงโดยเฉพาะการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ—และความคิดหรือนโยบายเกี่ยวกับการเมืองการค้าและความสัมพันธ์กับนานาชาติรวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน  เฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่ ๆ  ก็เกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งทางทหารกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา  และดูเหมือนว่าเราไม่ได้มีความคิดที่จะแก้ไขให้สงบลง  คนหลายกลุ่มเรียกร้องให้ไทย “รบ”

ถ้าจะเปรียบไปก็คล้าย ๆ  กับว่าเรากำลัง “เปลี่ยนสนามการค้าให้เป็นสนามรบ” ในยามที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นกำลังถดถอยลงอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน

บางทีผมก็คิดว่าโลกนี้ก็มี “วัฏจักร” ของตัวเอง  ช่วงที่พลเอก ชาติชายประกาศนโยบายของประเทศไทยนั้น  โลกเองก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่สงบสุขขึ้น  สงครามกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัย  ประเทศหลัก ๆ ส่วนใหญ่กำลังเปิดประเทศทำการค้าขายกันอย่างกว้างขวาง  อุดมการทางการเมืองเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของความคิด “ชาตินิยม” หรือ  “สังคมนิยม” ที่พูดว่าเป็น “ซ้าย” หรือ “ขวา” เริ่ม “ตกยุค”  มีแต่การพัฒนาการทางเศรษฐกิจให้เติบโตโดยอาศัยระบบทุนนิยมและการเปิดประเทศค้าขายกันอย่างเสรีทั่วโลกเท่านั้นที่เป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จและสร้างความอยู่ดีกินดีให้กับมวลมนุษยชาติ

แต่แล้ว  “วัฏจักร” แห่งความรุ่งเรือง  ก็เริ่มเปลี่ยนไป  ย้อนหลังไปหลายปี  โลกก็เริ่มมีสงครามใหญ่เกิดขึ้น  เริ่มตั้งแต่สงครามยูเครนกับรัสเซีย  ซึ่งดำเนินต่อมาถึงวันนี้ก็กว่า 3 ปีแล้วที่ยังหาจุดจบไม่ได้  ต่อมาก็เกิดสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส  และล่าสุดก็คือ  สงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่เพิ่งโจมตีทางอากาศต่อกันเมื่อ 2-3 วันมานี้เอง  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร

นอกจากสงครามจริง ๆ  แบบใช้อาวุธห้ำหั่นกันแล้ว  โลกยังเริ่มเห็น “สงครามยุคใหม่” ที่รัฐชาติต่อสู้กันด้วยการค้าและการแข่งขันกันทางด้านเทคโนโลยี  เพราะการบอกว่าใครหรือชาติไหนจะเป็นผู้ชนะและมีอำนาจในโลกยุคใหม่นั้น  ระดับของความสามารถทางเศรษฐกิจหรือ GDP และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี  คือสิ่งที่จะตัดสิน  และนี่ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น  มันคือ  “สงครามการค้า” ที่อาศัยการตั้งหรือกำหนดกฎเกณฑ์ที่จะทำให้ประเทศได้เปรียบในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่จะทำให้ได้ชัยชนะและเป็นมหาอำนาจของโลกต่อไปในอนาคต

สงครามการค้าระหว่างประเทศนั้น  สุดท้ายก็ต้องสะท้อนไปยังเศรษฐกิจและตลาดหุ้น  ว่าที่จริง  ช่วงที่ “เริ่มประกาศสงคราม” โดยประธานาธิบดีทรัมป์  ดัชนีหุ้นหลัก ๆ  ของอเมริกาก็ตกลงมาอย่างแรง  ซึ่งก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า  สงครามนั้น  มีแต่จะทำลายล้าง  เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจรุนแรง  โอกาสที่ทำสงครามแล้วชนะและทำให้ประเทศร่ำรวยขึ้นซึ่งส่งผลให้ดัชนีหุ้นวิ่งขึ้นไปนั้น  มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยใน “โลกยุคใหม่” พูดง่าย ๆ  สงครามในโลกยุคใหม่นั้น  มีแต่ผู้เสียหายทั้งฝ่ายผู้แพ้และผู้ชนะ  ไม่เหมือนในอดีตที่ผู้ชนะมักจะร่ำรวยจากการได้ครอบครองทรัพยากรและความมั่งคั่งจากผู้แพ้

อย่างไรก็ตาม  ถึงวันนี้  หลังจากการประกาศสงครามการค้า  ดัชนีหุ้นของอเมริกาเริ่มจะปรับตัวกลับขึ้นมาบ้าง  หุ้นหลัก ๆ  บางตัวกลับขึ้นมาเกือบเท่าเดิมก่อนที่จะตก  แต่หลายตัวก็ยังแย่อยู่มาก  อาทิเช่นหุ้นอย่างเทสลาที่ประสบกับการตกต่ำลงของยอดขายและกำไรที่เป็นผลส่วนหนึ่งจากเรื่องของสงครามการค้า  

เราคงต้องดูกันต่อไปว่า  สุดท้ายแล้ว  เศรษฐกิจและตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรเมื่อสงครามการค้าดำเนินต่อไปยาวนานพอและเริ่มเห็นความเสียหายที่จะเกิดขึ้นของคู่สงครามแต่ละฝ่าย

มองในภาพที่เล็กลงมาในระดับอุตสาหกรรมและตัวหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  เราก็เริ่มเห็น  “สงคราม” ที่กำลังเกิดขึ้นมากมาย  เริ่มตั้งแต่  “สงครามรถไฟฟ้า” ที่มีการประกาศลดราคาขายลงแบบ “บ้าคลั่ง” คืออาจจะต่ำกว่าต้นทุนโดยเฉพาะในรถจากจีน  ซึ่งมองดูแล้ว  การลดราคาแบบนั้นก็จะต้องโดนคู่แข่งประกาศลดราคาตามเพื่อรักษาตลาด  สุดท้าย  ทุกคนก็เสียหายกันหมดโดยไม่มีใครชนะ  และสุดท้ายก็จะมีบริษัทหรือยี่ห้อที่ต้อง  “เจ๊ง” เพราะอ่อนแอกว่า

ในประเทศไทยเองนั้น  เราก็มี  “สงครามส่งด่วน” ซึ่งก็เป็นสงครามระหว่างผู้ให้บริการส่งพัสดุหรือสินค้าซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตสูงมาก  และแทบทุกบริษัทต่างก็พยายามแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดเพื่อที่จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วผ่านการ “ลดราคาค่าส่งอย่างบ้าระห่ำ”  ผลก็คือ  ทุกคนเจ็บหนัก  ขาดทุนกันมากมายและบางรายก็  “เจ๊ง”  ไปเลย

ในภาพยนตร์ซีรี่ที่กำลังดังมากในเน็ตฟลิกซ์เรื่อง “สงครามส่งด่วน” นั้น  อาจจะเห็นว่ามี “ผู้ชนะ” ที่จะเจริญรุ่งเรืองต่อไป  แต่ในชีวิตจริงผมคิดว่าทุกคนต่างก็เจ็บ  “ปางตาย” และอนาคตผมก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร  ผมคิดแต่ว่า  สงครามนั้น  ส่วนใหญ่แล้วจะทำให้ทุกคนเจ็บและยากลำบาก  ซึ่งในที่สุดก็มักจะสะท้อนลงมาที่หุ้น

เช่นเดียวกัน  สงครามล่าสุดอีกกรณีหนึ่งที่ประกาศออกมาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือสิ่งที่สื่อพาดหัวกันว่าเป็น  “สงครามสุกี้” ซึ่งก็เป็นการประกาศลดราคาอาหารโดยการทำโปรโมชั่นขายสุกี้แบบบุฟเฟ่ที่ราคาต่ำมากของหลายบริษัท  ซึ่งส่งผลให้ร้านอาหารแบบอื่น ๆ ที่ไม่ได้ปรับลดราคาต่างก็เหนื่อยกันไปหมด  เพราะขายอาหารได้น้อยลงมาก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  อาหารภัตตาคารนั้น  เป็นคู่แข่งกันทั้งนั้น  แม้ว่าจะไม่ได้ขายสุกี้ก็ถูกกระทบไปด้วย  และหลายร้านก็อาจจะจำเป็นที่จะต้องทำโปรโมชั่น  สุดท้ายก็อาจจะกลายเป็นสงครามอาหารภัตตาคาร  ที่อาจจะทำให้บริษัทที่อ่อนแอต้อง “เจ๊ง” และออกจากตลาดไป

ข้อสรุปของผมโดยรวมก็คือ  ในช่วงนี้ดูเหมือนว่าโลกกำลังเข้าสู่ภาวะของความปั่นป่วน  โลกมุ่งเข้าสู่การสู้รบแข่งขันกันรุนแรงขึ้นในทุกด้าน  ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงหรือเป็นหายนะทั้งฝ่ายที่แพ้หรือชนะ  มีโอกาสน้อยมากที่ผู้ชนะจะ “กินรวบ” หรือได้ประโยชน์จากสงคราม  ในขณะที่ผู้แพ้นั้นมักจะเจ็บหนัก  บางทีถึงตาย  ดังนั้น  หากมองในสายตาของนักลงทุนแล้ว  การลงทุนในสถานการณ์ของสงครามจึงเป็นความเสี่ยงที่ได้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควรเป็นและมีโอกาสเสียหายหนัก  ถ้าไม่จำเป็นก็ควรจะหลีกเลี่ยงหรือรอ        


VVI Membership 1,990 บาท แบบทั่วไป
👉 https://class.vietnamvi.com/product/p1-membership-superstock/

👉 VVI Membership + Class 1-3
ราคา 2,980 บาทได้ 1 ปี (คุ้มกว่า)
https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs/