โลกในมุมมองของ Value Investor 14 มิถุนายน 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในเดือนสิงหาคมปี 2531 อดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย “อย่างแท้จริง” คือพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ได้ประกาศนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า” ซึ่งเป็นนโยบายที่ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งทางการทหารกับประเทศกัมพูชาและส่งเสริมการทำธุรกิจร่วมกันกับประเทศในกลุ่มอินโดจีน สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับเพื่อนบ้านที่มักมีเหตุกระทบกระทั่งและรบกันที่เขตชายแดนมาตลอด
พลเอกชาติชายดำรงตำแหน่งนายกประมาณ 2 ปีครึ่ง และเศรษฐกิจในช่วง 3 ปี ตั้งแต่ปี 2531 เติบโตเกิน 10% ต่อปี ถึง 3 ปีติดต่อกัน กลายเป็นประเทศที่เติบโต “สูงที่สุดในโลก”
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสะท้อนการเติบโตของ GDP และการเปลี่ยนแปลงนโยบายและการเมืองของประเทศไทย โดยการปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงจากประมาณ 450 จุดในช่วงที่มีการประกาศนโยบายเป็นกว่า 1,700 จุด ในช่วงปี 2537 หรือเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 4 เท่าในเวลา 5 ปีครึ่งเท่ากับผลตอบแทนทบต้นประมาณ 28% ต่อปี และกลายเป็น “ยุคทอง”ของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย ที่ร้อนแรงเกินไปจนต้องประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในปี 2540
เวลาผ่านมา 37 ปีแล้ว ขณะนี้ทุกอย่างในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถดถอยลงโดยเฉพาะการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ—และความคิดหรือนโยบายเกี่ยวกับการเมืองการค้าและความสัมพันธ์กับนานาชาติรวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน เฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่ ๆ ก็เกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งทางทหารกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา และดูเหมือนว่าเราไม่ได้มีความคิดที่จะแก้ไขให้สงบลง คนหลายกลุ่มเรียกร้องให้ไทย “รบ”
ถ้าจะเปรียบไปก็คล้าย ๆ กับว่าเรากำลัง “เปลี่ยนสนามการค้าให้เป็นสนามรบ” ในยามที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นกำลังถดถอยลงอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน
บางทีผมก็คิดว่าโลกนี้ก็มี “วัฏจักร” ของตัวเอง ช่วงที่พลเอก ชาติชายประกาศนโยบายของประเทศไทยนั้น โลกเองก็กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่สงบสุขขึ้น สงครามกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัย ประเทศหลัก ๆ ส่วนใหญ่กำลังเปิดประเทศทำการค้าขายกันอย่างกว้างขวาง อุดมการทางการเมืองเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของความคิด “ชาตินิยม” หรือ “สังคมนิยม” ที่พูดว่าเป็น “ซ้าย” หรือ “ขวา” เริ่ม “ตกยุค” มีแต่การพัฒนาการทางเศรษฐกิจให้เติบโตโดยอาศัยระบบทุนนิยมและการเปิดประเทศค้าขายกันอย่างเสรีทั่วโลกเท่านั้นที่เป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จและสร้างความอยู่ดีกินดีให้กับมวลมนุษยชาติ
แต่แล้ว “วัฏจักร” แห่งความรุ่งเรือง ก็เริ่มเปลี่ยนไป ย้อนหลังไปหลายปี โลกก็เริ่มมีสงครามใหญ่เกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่สงครามยูเครนกับรัสเซีย ซึ่งดำเนินต่อมาถึงวันนี้ก็กว่า 3 ปีแล้วที่ยังหาจุดจบไม่ได้ ต่อมาก็เกิดสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส และล่าสุดก็คือ สงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่เพิ่งโจมตีทางอากาศต่อกันเมื่อ 2-3 วันมานี้เอง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร
นอกจากสงครามจริง ๆ แบบใช้อาวุธห้ำหั่นกันแล้ว โลกยังเริ่มเห็น “สงครามยุคใหม่” ที่รัฐชาติต่อสู้กันด้วยการค้าและการแข่งขันกันทางด้านเทคโนโลยี เพราะการบอกว่าใครหรือชาติไหนจะเป็นผู้ชนะและมีอำนาจในโลกยุคใหม่นั้น ระดับของความสามารถทางเศรษฐกิจหรือ GDP และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี คือสิ่งที่จะตัดสิน และนี่ก็คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น มันคือ “สงครามการค้า” ที่อาศัยการตั้งหรือกำหนดกฎเกณฑ์ที่จะทำให้ประเทศได้เปรียบในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่จะทำให้ได้ชัยชนะและเป็นมหาอำนาจของโลกต่อไปในอนาคต
สงครามการค้าระหว่างประเทศนั้น สุดท้ายก็ต้องสะท้อนไปยังเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ว่าที่จริง ช่วงที่ “เริ่มประกาศสงคราม” โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ดัชนีหุ้นหลัก ๆ ของอเมริกาก็ตกลงมาอย่างแรง ซึ่งก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า สงครามนั้น มีแต่จะทำลายล้าง เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจรุนแรง โอกาสที่ทำสงครามแล้วชนะและทำให้ประเทศร่ำรวยขึ้นซึ่งส่งผลให้ดัชนีหุ้นวิ่งขึ้นไปนั้น มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยใน “โลกยุคใหม่” พูดง่าย ๆ สงครามในโลกยุคใหม่นั้น มีแต่ผู้เสียหายทั้งฝ่ายผู้แพ้และผู้ชนะ ไม่เหมือนในอดีตที่ผู้ชนะมักจะร่ำรวยจากการได้ครอบครองทรัพยากรและความมั่งคั่งจากผู้แพ้
อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้ หลังจากการประกาศสงครามการค้า ดัชนีหุ้นของอเมริกาเริ่มจะปรับตัวกลับขึ้นมาบ้าง หุ้นหลัก ๆ บางตัวกลับขึ้นมาเกือบเท่าเดิมก่อนที่จะตก แต่หลายตัวก็ยังแย่อยู่มาก อาทิเช่นหุ้นอย่างเทสลาที่ประสบกับการตกต่ำลงของยอดขายและกำไรที่เป็นผลส่วนหนึ่งจากเรื่องของสงครามการค้า
เราคงต้องดูกันต่อไปว่า สุดท้ายแล้ว เศรษฐกิจและตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรเมื่อสงครามการค้าดำเนินต่อไปยาวนานพอและเริ่มเห็นความเสียหายที่จะเกิดขึ้นของคู่สงครามแต่ละฝ่าย
มองในภาพที่เล็กลงมาในระดับอุตสาหกรรมและตัวหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เราก็เริ่มเห็น “สงคราม” ที่กำลังเกิดขึ้นมากมาย เริ่มตั้งแต่ “สงครามรถไฟฟ้า” ที่มีการประกาศลดราคาขายลงแบบ “บ้าคลั่ง” คืออาจจะต่ำกว่าต้นทุนโดยเฉพาะในรถจากจีน ซึ่งมองดูแล้ว การลดราคาแบบนั้นก็จะต้องโดนคู่แข่งประกาศลดราคาตามเพื่อรักษาตลาด สุดท้าย ทุกคนก็เสียหายกันหมดโดยไม่มีใครชนะ และสุดท้ายก็จะมีบริษัทหรือยี่ห้อที่ต้อง “เจ๊ง” เพราะอ่อนแอกว่า
ในประเทศไทยเองนั้น เราก็มี “สงครามส่งด่วน” ซึ่งก็เป็นสงครามระหว่างผู้ให้บริการส่งพัสดุหรือสินค้าซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตสูงมาก และแทบทุกบริษัทต่างก็พยายามแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดเพื่อที่จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วผ่านการ “ลดราคาค่าส่งอย่างบ้าระห่ำ” ผลก็คือ ทุกคนเจ็บหนัก ขาดทุนกันมากมายและบางรายก็ “เจ๊ง” ไปเลย
ในภาพยนตร์ซีรี่ที่กำลังดังมากในเน็ตฟลิกซ์เรื่อง “สงครามส่งด่วน” นั้น อาจจะเห็นว่ามี “ผู้ชนะ” ที่จะเจริญรุ่งเรืองต่อไป แต่ในชีวิตจริงผมคิดว่าทุกคนต่างก็เจ็บ “ปางตาย” และอนาคตผมก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร ผมคิดแต่ว่า สงครามนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะทำให้ทุกคนเจ็บและยากลำบาก ซึ่งในที่สุดก็มักจะสะท้อนลงมาที่หุ้น
เช่นเดียวกัน สงครามล่าสุดอีกกรณีหนึ่งที่ประกาศออกมาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือสิ่งที่สื่อพาดหัวกันว่าเป็น “สงครามสุกี้” ซึ่งก็เป็นการประกาศลดราคาอาหารโดยการทำโปรโมชั่นขายสุกี้แบบบุฟเฟ่ที่ราคาต่ำมากของหลายบริษัท ซึ่งส่งผลให้ร้านอาหารแบบอื่น ๆ ที่ไม่ได้ปรับลดราคาต่างก็เหนื่อยกันไปหมด เพราะขายอาหารได้น้อยลงมาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ อาหารภัตตาคารนั้น เป็นคู่แข่งกันทั้งนั้น แม้ว่าจะไม่ได้ขายสุกี้ก็ถูกกระทบไปด้วย และหลายร้านก็อาจจะจำเป็นที่จะต้องทำโปรโมชั่น สุดท้ายก็อาจจะกลายเป็นสงครามอาหารภัตตาคาร ที่อาจจะทำให้บริษัทที่อ่อนแอต้อง “เจ๊ง” และออกจากตลาดไป
ข้อสรุปของผมโดยรวมก็คือ ในช่วงนี้ดูเหมือนว่าโลกกำลังเข้าสู่ภาวะของความปั่นป่วน โลกมุ่งเข้าสู่การสู้รบแข่งขันกันรุนแรงขึ้นในทุกด้าน ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงหรือเป็นหายนะทั้งฝ่ายที่แพ้หรือชนะ มีโอกาสน้อยมากที่ผู้ชนะจะ “กินรวบ” หรือได้ประโยชน์จากสงคราม ในขณะที่ผู้แพ้นั้นมักจะเจ็บหนัก บางทีถึงตาย ดังนั้น หากมองในสายตาของนักลงทุนแล้ว การลงทุนในสถานการณ์ของสงครามจึงเป็นความเสี่ยงที่ได้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควรเป็นและมีโอกาสเสียหายหนัก ถ้าไม่จำเป็นก็ควรจะหลีกเลี่ยงหรือรอ
VVI Membership 1,990 บาท แบบทั่วไป
👉 https://class.vietnamvi.com/product/p1-membership-superstock/
👉 VVI Membership + Class 1-3
ราคา 2,980 บาทได้ 1 ปี (คุ้มกว่า)
https://class.vietnamvi.com/product/p4-triple-packs/