โลกในมุมมองของ Value Investor 11 พฤศจิกายน 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คนที่ลงทุนหรือเล่นหุ้นมานานมากนั้น ส่วนใหญ่ผมเชื่อว่ามักจะมีความคิดที่ “ฝังใจ” กับหุ้นบางประเภทที่ตนเองเคยประสบและมีประสบการณ์ที่ “ไม่ดี” ซ้ำอยู่หลายหนจนทำให้ “เข็ด” และหลังจากนั้นก็จะไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วยแม้ว่าหุ้น “ตัวใหม่” อาจจะกำลัง “ดูดี” น่าลงทุน เหตุผลรวบยอดที่ใช้ก็คือ เขา “เกลียด” หุ้นที่มีลักษณะแบบนั้น เพราะลงทุนหรือเล่นแล้วก็มักจะขาดทุนหรือหุ้นไม่ไปไหน ตัวอย่างที่เห็นบ่อย ๆ ในเว็บบอร์ดสาธารณะเกี่ยวกับหุ้นก็เช่น “กลุ่มหุ้นปันผล” ที่จ่ายหรือกำลังจะจ่ายปันผลงดงามที่มักจะพบคอมเม้นท์ที่ว่า “อยากเอาปันผลไปคืน” หลังจากวัน X-Dividend หรือวันที่ได้รับสิทธิในปันผลไปแล้วและราคาหุ้นตกลงมามากกว่าเงินปันผลที่ได้พอสมควร ซึ่งทำให้ซื้อแล้ว “ขาดทุน”
หุ้นที่ซื้อแล้ว “ขาดทุน” หรือ “ไม่ได้อะไรเลย” แม้ว่าจะวิเคราะห์ดีแล้ว และผลประกอบการก็ออกมา “ดีตามคาด” เป็นหุ้นที่มักทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะ VI รู้สึกผิดหวังมากกว่าปกติ และนั่นก็อาจจะไม่ใช่ครั้งเดียว แต่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ จนถึงจุดหนึ่งเราก็จะ “เกลียด” และจะหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นแบบนั้น ซึ่งก็มีหลายแบบมากดังตัวอย่างต่อไปนี้
กลุ่มแรกก็คือ หุ้นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่หรือเจ้าของเป็นกลุ่มที่ไม่ใคร่จะสนใจนักลงทุนที่เข้ามาซื้อขายหุ้น อาจจะเพราะพวกเขาไม่เห็นประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยเลยเพราะเขาไม่สนใจหรือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องระดมเงินอีกต่อไปแล้ว เช่นเดียวกับการที่ไม่คิดจะขายหุ้นซึ่งอาจจะอยู่ในบริษัทโฮลดิ้งหรือกงสีที่เป็นแหล่งของความมั่งคั่งของคนในกลุ่มของตนเองที่เป็นเจ้าของร่วมกัน ดังนั้น พวกเขาก็อาจจะไม่สนใจที่จะทำให้ราคาหรือมูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้น หรือถ้ากิจการของบริษัทมีกำไรดี เขาก็จะจ่ายปันผลน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะเงินอยู่กับบริษัทที่เขาควบคุมนั้น ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 4 พฤศจิกายน 66
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เดือนตุลาคม 2566 เพียงเดือนเดียว หุ้นไทยตกลงไปประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ และนับจากต้นปี ดัชนีหุ้นไทยตกลงมาแล้วถึงประมาณ 15% และถ้าจนถึงสิ้นปีหุ้นยังไม่ดีขึ้น ปี 2566 จะเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดนับจากปี 2551 หรือ 15 ปีมาแล้วที่หุ้นไทยตกลงมาหนักถึง 47.5% เนื่องจากวิกฤติซับไพร์ม และเป็นตลาดหุ้นที่ “ตกหนักที่สุดในโลก” ในปีนี้ ซึ่งก็พูดได้ว่าเรากำลังอยู่ใน
“ตลาดหมี”
ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามนั้น ตั้งแต่ต้นปีจนถึงต้นเดือนกันยายน 2566 หรือเพียงประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นถึงประมาณ 24% เปอร์เซ็นต์ตามดัชนีตลาดหุ้นโลกที่ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น ซึ่งก็ทำให้พอร์ตหุ้นเวียตนามของผมเติบโตขึ้นมาก และก็สามารถ “ชดเชย” การตกลงมาของหุ้นไทยได้ทั้งหมดและทำให้พอร์ตโดยรวมของผมยังมีกำไรเล็กน้อยแม้ว่าพอร์ตหุ้นไทยที่ใหญ่กว่ามากจะขาดทุน
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น ดัชนีตลาดหุ้นทั้งโลกก็เริ่มตกลงมาอย่างแรง หุ้นเวียตนามซึ่งมักจะตามตลาดหุ้นระดับโลกก็ตกลงมาอย่างแรงเช่นเดียวกัน คือลบถึง 16.3% ตั้งแต่เดือนกันยายนถึงสิ้นตุลาคมและกลายเป็นเดือนที่ “เลือดนองตลาดหุ้น” ทั่วโลก ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามที่เคยทำได้โดดเด่นมากนั้นลดลงมามากและถ้านับจากต้นปีก็เหลือกำไรแค่ 7-8% หุ้น “VI” ที่เคยโดดเด่นมาตั้งแต่ต้นปีหลายตัวตอนนี้ขาดทุนอย่างหนัก
ผลก็คือ พอร์ตหุ้นโดยรวมของผมตกลงมาจนไม่เหลือกำไรแล้วนับจากต้นปีถึงวันนี้ และก็ไม่รู้ว่าถึงสิ้นปี ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 28 ตุลาคม 66
ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การลงทุนในหุ้น Top-Ten หรือหุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวในตลาดแล้วถือไว้ยาวนาน 10-20 ปี โดยไม่ทำอะไรเลยยกเว้นเมื่อได้รับปันผลก็จะนำเงินนั้นกลับไปลงทุนในหุ้นตัวเดิมไปเรื่อย ๆ น่าจะเป็นกลยุทธการลงทุนที่ดีมาก อย่างน้อยก็น่าจะดีไม่แพ้การลงทุนในดัชนีตลาดหุ้น และนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยย้อนหลังไป 20 ปี อย่างที่ผมเขียนไว้ในบทความก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ ถ้าคิดจะลงทุนหุ้นแนว “Top-Ten” ผมคิดว่าเราควรจะต้องดัดแปลงให้เหมาะสมกับสถานการณ์และปรับปรุงแนวทางให้ดีขึ้นหลังจากเห็นผลที่เกิดขึ้นแล้ว เหตุผลก็เพราะว่า ข้อแรก เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยผ่านยุคที่เติบโตหรือรุ่งเรืองไปแล้ว การลงทุนแนว “กึ่ง Passive” ในตลาดหุ้นไทยอาจจะไม่ได้ผลดี และข้อสอง เราพบว่าหุ้นบางกลุ่ม เช่น หุ้นที่เป็นแนวโภคภัณฑ์ที่อยู่ใน Top-Ten ให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีในระยะยาวโดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจของประเทศเติบโตขึ้นและการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ลดความสำคัญลงไปเรื่อย ๆ
ความคิดของผมก็คือ เราควรเลือกตลาดหุ้นใหม่ที่กำลังเติบโตเร็ว นั่นก็คือ ตลาดหุ้นเวียดนาม และแทนที่จะเลือกหุ้นใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน 10 ตัว เราควรเลือกหุ้นที่จะ “ใหญ่ที่สุดในอนาคต 10 ตัว” หรือจะเรียกว่า ลงทุนในหุ้น “Future Top-Ten” โดยที่เมื่อเลือกแล้ว เราก็จะถือหุ้นไว้ 10 ปี...
ผ่านไปแล้วกับทริปสัมมนา VVI HCMC 2023ขอบคุณเพื่อนนักลงทุนทุกท่านที่ทำให้ทริปสัมมนาผ่านไปได้ด้วยดี
Special thanks to the fund and equity companies
Dragon CapitalVietcapPYN EliteVinaCapitalLumen Vietnam Fund
Special thanks to the Vietnamese companies
MobileWorldFPT University สำหรับการต้อนรับ Company Visit และการแสดงPNJMasan GroupDat Xanh GroupVNPAY KaravanTVS Thien Viet SecuritiesConCungVMCGSoundton Energy Vietnam
ขอบคุณบริษัทไทยในเวียดนาม
CP VietnamCentral Retail VietnamPYI Consulting VietnamBangkok Bank VietnamAmazon Cafe Vietnam
ขอบคุณ Speaker ไทยในเวียดนาม
พี่แจ๊ค วิศวกร ปันยารชุน นักลงทุน 14 ปีในตลาดหุ้นเวียดนามคุณภาวิน ศรีอัศวกุล Founder of Karavanคุณปฐม ยงวณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน M&A, Founder of...
เวียดนามกําลังทํางานอย่างหนักเพื่อให้ตลาดหุ้นได้รับการอัพเกรดจากสถานะชายขอบเป็นตลาดเกิดใหม่ภายในปี 2568 เทียบชั้นไทย
การอัพเกรดตลาดหุ้นคาดว่าจะช่วยให้เวียดนามดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศได้มากขึ้น Vũ Thị Chân Phương ประธานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์ของรัฐเวียดนาม (SSC) กล่าวว่าการอัพเกรดสถานะของตลาดหุ้นเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของรัฐบาล ประเทศหวังว่าจะได้รับสถานะตลาดเกิดใหม่ก่อนปี 2025
ตาม Phương ในแง่ของกรอบกฎหมาย กฎหมายหลักทรัพย์ปี 2019 กฎหมายการลงทุนปี2020 กฎหมายว่าด้วยวิสาหกิจปี 2020 และเอกสารที่ชี้นําการบังคับใช้ได้สร้างเงื่อนไขที่เหมาะสมสําหรับกระแสการลงทุน อํานวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ ตลอดจนการลงทะเบียนและการเปิดบัญชีของนักลงทุน และเพิ่มความโปร่งใสของตลาด ตรงตามเกณฑ์สําหรับการอัพเกรดตลาด
นอกเหนือจากการเติบโตในแง่ของขนาดและสภาพคล่องแล้ว ตลาดหุ้นของเวียดนามยังมีความโปร่งใสมากขึ้นธุรกิจจํานวนหนึ่งได้เปิดเผยข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษในเชิงรุก ในหมู่พวกเขา ทุกคนในกลุ่มดัชนี VN30 ซึ่งวัดหุ้นที่ใหญ่ที่สุด 30 ตัวตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ได้เปิดเผยข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ
กฎระเบียบที่โปร่งใสช่วยปรับปรุงความเป็นไปได้ของตลาด ดังที่เห็นในพระราชกฤษฎีกาของรัฐบาล SSC จะแก้ไขเอกสารทางกฎหมายเพื่อปรับปรุงความโปร่งใสและความยั่งยืนของตลาดหุ้น Phương กล่าว
Lyndon Chao ตัวแทนของ Asia Securities Industry and Financial Markets Association (ASIFMA) กล่าวว่าเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย โดยมีการเติบโตที่เร็วที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการกระจายห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกและชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น
เขากล่าวว่านักลงทุนทั่วโลกกําลังเพิ่มการลงทุนในเอเชีย และเวียดนามจะเป็นจุดหมายปลายทางที่โดดเด่นในอนาคต เนื่องจากทางการได้ปฏิรูปตลาดเพื่อให้เข้าถึงผู้จัดการกองทุนระดับโลกได้ง่ายขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินได้ชี้ให้เห็นว่า MSCI และ FTSE Russell ซึ่งเป็นสององค์กรระหว่างประเทศที่สําคัญที่สุดในการจัดประเภทตลาดหุ้น ยังคงระบุว่าเวียดนามเป็นตลาดชายแดน ในขณะเดียวกัน ประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ถูกกําหนดให้เป็นตลาดเกิดใหม่มาหลายปีแล้ว
นักลงทุนต่างชาติจํานวนมากเห็นมูลค่าในตลาดหุ้นของเวียดนามและต้องการลงทุนในอนาคตที่นี่ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า สิ่งที่ประเทศต้องทําตอนนี้คือส่งเสริมความโปร่งใสของตลาดและให้เงื่อนไขที่เอื้ออํานวยต่อนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น
หาก MSCI และ FTSE Russell ยกระดับตลาดหุ้นของเวียดนามเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ คาดว่าเงินหลายพันล้านดอลลาร์จะหลั่งไหลเข้าสู่หุ้นเวียดนามในแต่ละปี
จากข้อมูลของหน่วยงานจัดอันดับระหว่างประเทศรายใหญ่และสถาบันการเงิน ประเทศได้ทําการปรับปรุงและเป็นไปตามเกณฑ์ที่สําคัญหลายประการ อย่างไรก็ตาม สองประเด็นยังคงต้องการการปรับปรุงที่สําคัญในการสนับสนุนนักลงทุนต่างชาติ การปรับปรุงดังกล่าวรวมถึงข้อกําหนดการระดมทุนล่วงหน้าและขีดจํากัดความเป็นเจ้าของจากต่างประเทศ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จําเป็นต้องมีการประสานงานในทางปฏิบัติระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ธนาคารแห่งรัฐเวียดนาม และกระทรวงการวางแผนและการลงทุน
ผู้เชี่ยวชาญยังเน้นย้ําถึงความสําคัญของบริษัทหลักทรัพย์และธนาคาร โดยกล่าวว่าการอัปเกรดจะช่วยขยายขนาดตลาดได้อย่างมาก ดังนั้นระบบปฏิบัติการและกระบวนการจัดการความเสี่ยงจึงต้องเป็นอันดับต้น ๆ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกําหนดที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม
นอกจากนี้ SSC ควรกดดันด้วยการทําให้ระบบไอทีใหม่สําหรับตลาดหุ้นสมบูรณ์แบบ กระจายและปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในตลาดเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตสีเขียวและการพัฒนาที่ยั่งยืน
VVI Membership
ดูรายละเอียดและสมัครได้ที่https://class.vietnamvi.com/
หรือ ติดตามเราได้ที่
– Line :@vietnamvi คลิกhttps://lin.ee/Jy9n680
– website: https://www.vietnamvi.com
– facebook: https://www.facebook.com/vvinvestor
– Youtube:http://youtube.com/c/vietnamvi
– E-mail: info@vietnamvi.com
โลกในมุมมองของ Value Investor ตุลาคม 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การลงทุนแบบ “Passive” หรือลงทุนซื้อหุ้นโดยไม่ต้องเลือกหุ้นเป็นรายตัว แต่อาศัยดัชนีหุ้นหรือเงื่อนไขบางอย่างเป็นตัวกำหนดในการซื้อหุ้น ซื้อแล้วก็ถือพอร์ตการลงทุนนั้นไว้ยาวนานโดยที่อาจจะมีการปรับจำนวนหุ้นบ้างตามระยะเวลาและตามเกณฑ์ที่กำหนด การทำแบบนี้มีข้อดีคือไม่ต้องใช้เวลาหรือความสามารถในการวิเคราะห์เลือกหุ้น ทำให้ต้นทุนของการลงทุนลดลง นอกจากนั้นก็มักจะช่วยลดความเสี่ยงเพราะมีการกระจายการลงทุนออกไปในหุ้นหลาย ๆ ตัว ตัวอย่างของการลงทุนแบบ Passive ชัดเจนก็เช่นการลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีตลาด เช่น ลงทุนใน SET50 หรือดัชนีที่รวมหุ้นใหญ่ที่สุด 50 ตัวในตลาดหลักทรัพย์ไทย หรือลงทุนในดัชนี S&P500 ในตลาดหุ้นสหรัฐ เป็นต้น
สถิติการลงทุนระยะยาวในดัชนีตลาดหุ้นหลัก ๆ ของประเทศนั้น ดูเหมือนจะดีกว่าการลงทุนแบบที่มีคนหรือ “ผู้เชี่ยวชาญ” เป็นผู้เลือกซื้อ-ขายหุ้น อานิสงค์ส่วนหนึ่งเพราะว่าต้นทุนในการจ้าง “เซียนหุ้น” มาบริหารนั้นค่อนข้างจะแพง เช่น ปีละ 2-3% ของมูลค่าหุ้นในพอร์ตในแต่ละปี เป็นต้น นอกจากนั้นแล้วก็ยังดูเหมือนว่าคนเลือกหุ้นนั้น ไม่ได้เป็นเซียนจริง ทำผลการลงทุนแพ้ “ค่าเฉลี่ย” ซึ่งก็คือตัวดัชนีตลาดหุ้นนั่นเอง
VI และนักลงทุนส่วนบุคคลจำนวนมากนั้น มีความเชื่อว่าตนเองมีความสามารถและมีความยืดหยุ่นและกล้าเสี่ยงกว่านักลงทุนสถาบันที่เป็นมืออาชีพ ดังนั้น เราจึงมักลงทุนเลือกหุ้นเองเป็นรายตัว เรากล้าที่จะลงทุนในหุ้นไม่กี่ตัว เช่น ตัวหลัก ๆ เพียง 5-6 ตัว ที่เราคิดว่าทำให้พอร์ตมีการกระจายหุ้นเพียงพอและไม่เสี่ยงเกินไป ในขณะที่ผลตอบแทนของเราก็จะเพิ่มขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญได้
ในกลุ่มของคนที่เป็นนักเลือกหุ้นลงทุนเองนั้น ...
นักลงทุนในประเทศลงทะเบียนบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ใหม่ 172,695 บัญชีในเดือนกันยายนซึ่งเป็นจํานวนสูงสุดเป็นอันดับสองในรอบกว่าหนึ่งปี ตามข้อมูลของ Vietnam Securities Depository and Clearing Corporation (VSDC)
ในเดือนนี้ องค์กรในประเทศได้เปิดบัญชีใหม่ 90 บัญชี VSDC กล่าว
ณ เดือนกันยายน จํานวนบัญชีทั้งหมดของนักลงทุนรายย่อยในประเทศทะลุ 7.76 ล้านบัญชีเทียบเท่ากับมากกว่าร้อยละ 8 ของประชากร
ในเดือนกันยายน นักลงทุนรายย่อยและองค์กรต่างชาติได้ลงทะเบียนบัญชีใหม่ 225 และ 28 บัญชีตามลําดับ ทําให้จํานวนบัญชีต่างประเทศทั้งหมดเป็น 42,711 บัญชี
ตลาดหุ้นเวียดนามบันทึกไตรมาสที่3เป็นขาขึ้น โดยมีช่วงการซื้อขายพันล้าน-US-dollar ติดต่อกัน
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 11.2 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าและเพิ่มขึ้น 85.4 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 28.62 ล้านล้านดอง
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในตลาดหลักทรัพย์ Hồ Chí Minh (HoSE) และตลาดหลักทรัพย์ Hà Nội (HNX) อยู่ที่ VNĐ25.13 ล้านล้านและ VNĐ2.38 ล้านล้านในเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 12.7 เปอร์เซ็นต์และ 9.0 เปอร์เซ็นต์ month-on-month ตามลําดับ ในขณะเดียวกัน มูลค่าของแต่ละเซสชั่นในตลาดบริษัทมหาชนที่UPCoM สูงถึง VND1.10 ล้านล้าน ลดลง 11.3 เปอร์เซ็นต์
ตลาดหุ้นยังคงมีเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่องในบริบทที่อัตราดอกเบี้ยลดลงอย่างรวดเร็ว และช่องทางการลงทุนอื่นๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์และพันธบัตรองค์กร ยังคงอ่อนลง
HoSE กําลังพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ระบบการซื้อขายที่พัฒนาโดย Korea Exchange (KRX) เริ่มดําเนินการในปลายปี 2023 เพื่อให้แน่ใจว่าตลาดจะดําเนินงานได้อย่างราบรื่นอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
ลงนามโดย HoSE และ KRX ในปี 2555 โครงการนี้คาดว่าจะนําผลิตภัณฑ์ใหม่ การซื้อขายและโซลูชันการชําระเงินมาสู่ตลาดหุ้นเวียดนาม เช่น การชําระบัญชี T 0 การขายชอร์ต และสัญญาออปชั่น สิ่งนี้จะสร้างหลักฐานในการแก้ปัญหาคอขวดและก้าวไปสู่การอัพเกรดตลาดจากพรมแดนไปสู่การเกิดใหม่
VVI Membership
ดูรายละเอียดและสมัครได้ที่ https://class.vietnamvi.com
หรือ ติดตามเราได้ที่
– Line :@vietnamvi คลิก https://lin.ee/Jy9n680
– facebook: https://www.facebook.com/vvinvestor
– Youtube:http://youtube.com/c/vietnamvi
– E-mail: info@vietnamvi.com
โลกในมุมมองของ Value Investor 7 ตุลาคม 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ตั้งแต่สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 ถึง วันที่ 7 ตุลาคม 66 คิดเป็นเวลาเพียง เดือนกว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยตกลงมาอย่างต่อเนื่องประมาณ 8% ไปแล้ว อานิสงค์ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการตกลงมาอย่างแรงของดัชนีตลาดหุ้นอเมริกาเช่น ดัชนี S&P 500 ที่ตกลงมาประมาณ 4.4% และดัชนี NASDAQ ที่ตกลงมาประมาณ 4.3% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยที่ดัชนีหุ้นอเมริกาที่ตกลงมาน่าจะมาจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางจนสูงขึ้นไปกว่า 5% ต่อปีไปแล้วและอาจจะมีโอกาสขึ้นต่อในอนาคตอีกด้วยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่ยังไม่ลดลงจนถึงจุดที่เหมาะสม
แต่ความแตกต่างของตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ที่ว่า ตั้งแต่ต้นปีมานั้น ดัชนี S&P ยังบวกถึง 12.7% และ NASDAQ ยังบวกถึง 29.3% และยังเป็นระดับดัชนีที่ใกล้เคียงกับระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีมานี้ ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยนั้นยังต่ำกว่าดัชนีตอนต้นปีอยู่ถึง 13.8% และอยู่ในระดับประมาณเท่ากับเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ 1,438 จุด สถานการณ์ตลาดหุ้นในช่วงเวลานี้สำหรับทั้งตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศเขาเรียกกันว่า “เลือดนองตลาดหุ้น”
เหตุผลของตลาดหุ้นไทยที่ตกลงมา “ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ” ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานั้น ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญมากนัก ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 30 กันยายน 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทุกคนผมเชื่อว่าจะต้องเคยลงทุนในหุ้นบางตัวที่วงการนักลงทุนผู้มุ่งมั่นเรียกว่าเป็น “หุ้นเปลี่ยนชีวิต” นั่นก็คือหุ้นที่เขาลงทุนซื้อแล้ว ราคาหรือมูลค่าของหุ้นปรับตัวขึ้นไปมากแบบ “มโหฬาร” บางทีเป็นหลาย ๆ เท่าหรือถึง 10 เท่าในเวลาไม่นาน อาจจะแค่ปีหรือสองปีหรือบางทีน้อยกว่านั้น แล้วเขาก็ขายไปพร้อม ๆ กับกำไรมหาศาล ไม่ใช่เพราะว่าเขาลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมากเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเขายังใช้มาร์จินหรือใช้บล็อกเทรดที่ขยายกำไรได้อีกเป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัว หลังจากการขายหุ้นออกไป ชีวิตเขาก็เปลี่ยน จากนักลงทุนธรรมดาก็กลายเป็น “เศรษฐี” หุ้นตัวนั้นก็กลายเป็น “หุ้นเปลี่ยนชีวิต” ของเขา
หลังจากนั้น หุ้นตัวนั้นก็ตกลงมาอย่างแรง บางทีกลับมาเท่าเดิมตอนที่เขาซื้อหรือต่ำกว่า เพราะสิ่งที่ขับเคลื่อนให้หุ้นขึ้นไปเช่นผลกำไรที่ดีเลิศและเรื่องราวในอนาคตที่สวยหรูไม่ได้ดำเนินต่อไปแต่กลับไปในทางตรงกันข้าม กำไรของบริษัทที่เคยสูงหลุดโลกตกลงมามาก บางทีกลายเป็นขาดทุน อนาคตที่สวยหรูไม่เป็นไปตามที่คนเชื่อ บางกรณีก็เกิดเหตุการณ์โกงหรือการหลอกลวงที่ปิดไว้ไม่อยู่อีกต่อไป นักลงทุนขาดความมั่นใจขายหุ้นทิ้ง ราคาหุ้นตกลงมาอย่างรุนแรงเกิน 70-80% กลายเป็น “คอร์เนอร์แตก” นักลงทุนจำนวนมากที่ขายหุ้นไม่ทัน รวมถึงนักลงทุนที่ซื้อหุ้นไว้จำนวนมากและใช้มาร์จินแบบเดียวกับคนที่เป็นเศรษฐีไปแล้ว ขาดทุนอย่างหนัก บางคนชีวิตก็เปลี่ยนเหมือนกัน แต่เปลี่ยนจากคน “เคยรวย” เป็นคนธรรมดาหรือเป็นยาจก
ดังนั้น “หุ้นเปลี่ยนชีวิต” นั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นหุ้นที่ดีมาก หรือเป็นหุ้นที่ดีตลอดหรือแม้แต่ดียาวนาน และก็เช่นเดียวกัน หุ้นที่เปลี่ยนชีวิตของคนบางคนก็อาจจะเป็น “หุ้นหายนะ” สำหรับคนอื่นและอาจจะเป็นคนจำนวนมากด้วยก็ได้ โดยเฉพาะถ้าหุ้นเปลี่ยนชีวิตตัวนั้นไม่ใช่เป็นหุ้น...
โลกในมุมมองของ Value Investor 23 กันยายน 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การเปลี่ยนแปลงแนวทางการคิดภาษีการลงทุนหุ้นต่างประเทศเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน ซึ่งมีผลสำคัญก็คือ ทำให้คนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศด้วยตนเองที่เริ่มมีมากขึ้นมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคิดว่าการลงทุนหุ้นต่างประเทศนั้น “ไม่เสียภาษี” เหมือนการลงทุนในหุ้นไทย ถ้าไม่นำเงินกลับมาในปีที่ขายหุ้น นักลงทุนที่ไปนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็หวังที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และต่างก็คิดว่าเงินที่นำออกไปลงทุนนั้น จะเป็นการลงทุนระยะยาวถึงยาวมาก เป็นการลงทุน “เพื่อชีวิต” เป็นการลงทุน “เพื่อการเกษียณ” หรืออย่างน้อยก็ลงทุนหลาย ๆ ปี ต่างก็ “ช็อก” เพราะอยู่ ๆ ก็มีประกาศว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป คนที่นำเงินที่ได้จากการลงทุนในต่างประเทศกลับมาจะต้องเสียภาษีตามอัตราบุคคลธรรมดา ซึ่งอาจจะเสียภาษีสูงสุดถึง 35%
ที่ทำให้ช็อกกว่าก็คือ เกณฑ์การเสียภาษีใหม่นั้น ถ้าคนที่ไปลงทุนอยู่แล้ว ไม่ต้องการลงทุนต่อและจะนำเงินกลับมาทันทีเพื่อเลี่ยงที่จะเสียภาษีที่จะเริ่มใช้ในต้นปีหน้า ส่วนใหญ่แล้วก็ทำไม่ได้ เพราะถ้าขายปีนี้เพื่อจะนำเงินกลับมาปีหน้าก็ทำไม่ทันแล้ว สรุปก็คือ เงินที่ออกไปแล้ว ตอนนี้ก็เหมือนกับ “ผู้ลี้ภัย” ที่ไม่สามารถกลับประเทศไทยที่เป็นเหมือน “บ้านเกิด” ได้ โดยเฉพาะถ้าออกไปแล้วทำผลตอบแทนได้ดีและมีกำไรมาก เพราะถ้ากลับมาก็อาจจะโดนเก็บภาษีถึง 35% หลายคนที่ประสบปัญหานี้ต่างก็คิดว่า บางที ...