Q: สัดส่วนที่อาจารย์ลงทุนเวียดนามเป็นเท่าไหร่ ?  A: (อ.นิเวศน์) ประมาณ 20% ของพอร์ต โตเร็ว และเติมเงินไปบ้าง  (มีทั้งรายตัวและ ETF) ผ่านไปอาจมากกว่าก็ต้องถือว่า significant แล้วหล่ะมีความหวังกับมันค่อนข้างเยอะ แต่ไปต่างประเทศถ้ามีเอาเงินกลับก็ต้องระวังว่าจะโดนภาษี. ลองดูประมาณนี้ยกเว้นอนาคตตลาดหุ้นไทยไปไม่ไหวจริง Q: ผลตอบแทนนี่คาดหวัง ? A: (อ.นิเวศน์) ผมว่า 10% เราก็ต้องแฮปปี้ประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นโตเร็วก็ประมาณนี้อาศัยเวลาอยู่นิ่งๆนานๆ  แบงค์ที่เวียดนามโตเร็วตลาดสินเชื่อเพิ่งจะเริ่มคนยังไม่กู้เพิ่มเริ่มใช้จ่ายแบงค์หลายแห่งที่มีพรีเมี่ยม (ติด FOL) ปล่อยสินเชื่อเต็มไม่เหมือนไทยที่สถาบันการเงินไม่ค่อยโตแล้วมีหนี้กันบานเบอะแต่เวียดนามยังใหม่มาก Q: ที่เวียดนาม Theme ไหนจะโต A: (คุณโน้ต) ชอบ Theme Consumer Consumption - Consumer Finance ตัว Retail ก็เริ่มหมีผู้ชนะแล้ว ตัวเลข GDP เวียดนามตอนนี้ 2.700 เหรียญสหรัฐต่อหัว ไทยอยู่ตรงนี้เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้วตอนนี้ 4,000 เหรียญสหรัฐ ตลาดหุ้นเวียดนามมีแบงค์ ประมาณ 30% แบงค์ที่เวียดนามไม่เหมือนไทยแบงค์เวียดนามใหญ่มากมาร์เก็ตแคปตัวที่ใหญ่สุด~ 500,000 กว่าล้านบาท เหมือน Kbank + BBL ผมชอบแบงค์เล็กๆ เช่น HDBANK...
Q: ตลาดหุ้นเวียดนามถ้านับตั้งแต่ปลายปี 2019 มาวันนี้ขึ้นมา 20% แล้ว ถ้าจะเข้าตอนนี้ยังน่าลงทุนไหม? ดร.นิเวศน์: ผมขอพูดยาวหน่อย ตลาดหุ้นในโลกนี้ตลาดหุ้นไหนจะยอดเยี่ยมในอนาคต เศรษฐกิจของประเทศมี PAST-PRESENT-FUTUREประเทศที่เป็น Past ไปไหนไม่ได้หรอก อนาคตดับ - Present พอไปได้ - Future นี่เป็นประเทศที่ไปได้และอยู่ยาว นาทีนี้ผมคิดว่าเวียดนามเป็นประเทศ Future เป็นประเทศแห่งอนาคต เป็นตลาดหุ้นแห่งอนาคต ลองไล่ดูนะว่าจะโตอีกเท่าไหร่จากนี้ไปอีกสิบปี (ในที่นี้อาจารย์ให้มุมมองที่เป็นภาพรวมตลาดหุ้น หากเราลงทุน ETF อิงดัชนีการวิเคราะห์ภาพรวมตลาดมีความสำคัญมากค่ะ) เริ่มตลาดหุ้นหรือสังคมที่เป็น Past (ผลตอบแทนย้อนหลังประมาณ 5%) อังกฤษ อันดับ 1 ของโลกในศตวรรษที่ 19 : ดูตลาดหุ้น 37 ปีหลังสงครามโลก มาวันนี้โตปีละ 5% ทบต้น ไม่รวมปันผล อนาคตคุณลงทุนไปก็ไม่ไปไหนหรอกญี่ปุ่น ตอนผมเด็กๆ จนอายุ 30 กว่า ช่วงญี่ปุ่นเป็น Future โตปีละ 12.5% แบบทบต้น แต่หลังจากนั้น 30 ปี ดัชนีญี่ปุ่นไม่ไปไหนเลยจาก 38,000 เป็น...
มุมมองการเลือก ETF ในเวียดนามของอ.ดร.นิเวศน์  วิธีเลือกกองทุนรวมที่ดีเอาง่ายๆค่าธรรมเนียมต่ำๆ S&P500 SET50  อิงดัชนี เช่นดัชนี HighTech HealthCare อะไรต่างๆซื้อตอนจุดต่ำๆ  บางคนบอกว่าซื้อกองทุนรวมเมื่อไหร่จะรวยได้แค่ค่าเฉลี่ย  ถ้าซื้อ S&P 500 ปีหนึ่งได้ 10% กว่าแต่ทบต้นนานๆ นี่มันเยอะมาก ผมนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมไปเจอมาไม่ได้อ่านหรอกเค้าบอกว่า “Average is the New Awesome” แปลว่าโลกยุคใหม่มันเปลี่ยนไปแล้วถ้าคุณได้ Average คุณทำได้เท่าค่าเฉลี่ยกองทุนรวมน่ะดีแล้วคิดดูนะผู้จัดการกองทุนในโลกนี่จบ Harvard จบ MIT ค่อยๆทยอยลงทุน แต่การเลือกกองทุนมันยังมีอีกจุดหนึ่งไม่ใช่เอาแค่ค่าเฉลี่ยเพราะถ้าคุณเอาค่าเฉลี่ยหุ้นไทยตลาดหุ้นไทยสมมติอีก 10 ปีข้างหน้ามันไม่ไปไหน มันได้แค่ 5%  คุณก็แย่นะคุณได้ค่าเฉลี่ยแต่แค่ 5%  ผมเลยมีอีกข้อเพิ่มเติมที่คุณต้องเลือกคือ  คนที่เลือกกองทุนคุณยังต้องเลือกว่าประเทศไหน  Sector ไหน ? ไฮเทคไหม  เลือกก่อนที่มั่นในสูงๆว่ามันจะดี “ เวียดนามผมไปมา 5-6 ปีแล้วเดิมทีเราก็เลือกเองตอนหลังเราก็เริ่มรู้แล้วว่าอย่าโง่เราเลือกเองเราไม่เป็นเราไม่ได้ค่าเฉลี่ยเราไปแล้วตกบ๊วย ตลาดนี้เราไม่รู้จักดีอันนี้ก็เลยว่าเอาค่าเฉลี่ยขอเลือกกองทุนรวมแต่สมัยก่อนมันก็ไม่มีนะตอนนี้มันมีก็เลือกกองทุนรวมหรือ ETF ผมไม่ได้เชียร์นะเดี๋ยวขาดทุนแล้วจะมาว่าผม  ที่เวียดนามเนี๊ยบังเอิญมันมีกองทุน ETF ตัวหนึ่งชื่อว่า Diamond ซึ่งตัวนี้ผมฝันมานานแล้วว่าอยากจะมี ผมเคยแม้กระทั่งไปคุยกับโบรกเกอร์บางแห่งในเวียดนามว่าตั้งสิเดี๋ยวผมจะลงปรากฏว่ารอบนั้นไม่สำเร็จ   เวียดนามมันมีหุ้นกลุ่มหนึ่งที่มี Foreign Premium เยอะ คือเป็นหุ้นที่แบบต่างชาติซื้อเยอะมาก เพราะต่างชาติเล่นแบบ Fundamental เค้ารู้ว่าหุ้นกลุ่มนี้หลายตัวมันดีมากเค้าซื้อได้ถึง...
โลกในมุมมองของ Value Investor        ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร             นาทีนี้คนที่ชอบเล่นหรือซื้อหุ้นดิจิตอลหรือไฮเท็คในต่างประเทศแทบทุกคนน่าจะต้องรู้จัก “ARK ETF”  ที่บริหารโดย Cathie Wood นักบริหารกองทุนรวมที่ “ร้อนแรงที่สุด” ในช่วงนี้  เหตุผลก็เพราะว่าผลงานการบริหาร ETF ที่เน้นลงทุนในหุ้นที่เป็นบริษัทไฮเท็คและดิจิตอลที่จะ “เปลี่ยนแปลงโลก” ของเธอหลายกองทุนนั้น  ต่างก็สร้างผลงานที่โดดเด่นมากและอยู่ระหว่าง 100 ถึง 200% ต่อปีในปี 2563 ที่ผ่านมา  และนั่นทำให้กองทุนที่เป็น ETF ของบริษัท ARK Invest เติบโตขึ้นมหาศาลจากประมาณ 3.5 พันล้านเหรียญหรือ 1 แสนล้านบาทไทย  เพิ่มขึ้นเป็น 41.5 พันล้านเหรียญหรือ 1.2 ล้านล้านบาทไทย หรือเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าภายในเวลาเพียงปีเดียว  อานิสงค์จากนักลงทุนทั่วโลกรวมถึงไทยที่แห่กันเข้าไปลงทุนใน ETF ของบริษัท             คำเตือนของผมสำหรับคนที่เข้าไปลงทุนใน ETF นี้ก็คือ  อย่าคาดหวังว่ามันจะดีเหมือนเดิมหรือแม้แต่จะดีมาก ๆ  สำหรับปี 2564 และปีต่อ ๆ ไป  เหตุผลเพราะว่าปี 2563...
บริษัทไทยที่โดดเด่นในเวียดนาม แม้ว่าไทยจะไม่ใช่นักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม แต่บางอุตสาหกรรม เช่น ค้าปลีก เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์ ปศุสัตว์ พลังงานแสงอาทิตย์ ของไทยก็มีอิทธิพลในเวียดนามไม่น้อย ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาการลงทุนของไทยในเวียดนาม โตเฉลี่ย 13 เปอร์เซ็นต์ต่อปี สิ้นปีที่แล้วการลงทุนทั้งหมดของไทยอยู่ที่ประมาณ 13,000 ล้านดอลลาร์ แม้จะไม่ทำให้ไทยติดอันดับหนึ่งในห้าประเทศที่มีการลงทุนสูงสุดแต่ก็ยังมีส่วนแบ่งการตลาดขนาดใหญ่ในหลายภาคส่วนเช่นในภาคค้าปลีก เครือข่ายซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำบางแห่งถูกควบคุมโดย บริษัทไทย 2 แห่งคือกลุ่มเซ็นทรัล และกลุ่มทีซีซี กลุ่มเซ็นทรัล กลุ่มเซ็นทรัลซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกชั้นนำของไทยซึ่งอยู่ในตระกูลจิราธิวัฒน์เริ่มต้นในเวียดนามในฐานะผู้ขายสินค้าแฟชั่นในปี 2555 โดยจัดจำหน่ายสินค้าจากแบรนด์ต่างๆ เช่น SuperSports, Crocs และ New Balance ในปี 2558 บริษัท ได้เข้าถือหุ้น 49% ในร้านค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้า Nguyen Kim ผ่าน Power Buy ซึ่งเป็น บริษัท ย่อย ในปีเดียวกัน บริษัท ได้ซื้อเชนซูเปอร์มาร์เก็ต Lan Chi ซึ่งดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่ในพื้นที่ชนบททางตอนเหนือ ในปี 2559 บริษัท ซื้อเครือข่ายซูเปอร์มาร์เก็ต Big C Vietnam จาก Casino Group ของฝรั่งเศสในราคากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ TCC...
เมื่อวานนี้ ดร. นิเวศน์ฯ เพิ่งเขียนบทความ “ Vietnam Takeoff”แต่ก่อนจะบิน..เราต้องไปสนามบินกันก่อนนะคะ ^^ พอดีมีเพื่อนชาว VVI Comment ขอให้ Update ACV วันนี้แอดมินก็เลยจัดให้ค่ะ Update กำไรปี 2020สนามบินเวียดนาม ACV = 2,234 ล้านบาท (-79% YoY)สนามบินไทย AOT= 4,321 ล้านบาท (-82.7% YoY) Market cap ปัจจุบัน (21 ก.พ.2021)ACV= 205,570 ล้านบาทAOT = 871,427 ล้านบาท * AOT กำไรมากกว่า ACV ประมาณ 2 เท่า แต่ Market Cap มากกว่า ACV ประมาณ 4.2 เท่า ถ้าดูคร่าวๆ ก็เหมือน AOT จะแพงกว่าพอควร แต่เราก็ต้องดูในรายละเอียด ความเสี่ยง การเติบโตที่หวังด้วยนะคะ สิ่งที่แอดประทับใจคือการเติบโตของจำนวนผู้โดยสารภายในประเทศ 4/2020 ACV โต...

Vietnam Takeoff

0
โลกในมุมมองของ Value Investor      20 กุมภาพันธ์ 64 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร           สภาวการณ์ที่ตลาดหุ้นเวียตนามวิ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วในช่วงเร็ว ๆ นี้จนกลับมาเกือบถึงจุด “All time high” ที่ประมาณ 1,170 จุดทั้ง ๆ ที่เพิ่งผ่านมรสุมโควิด-19  “รอบสอง” ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา  คำถามที่เกิดขึ้นในใจของผมก็คือ  หุ้นเวียตนามต่อจากนี้จะเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องไปมากน้อยแค่ไหน?  ได้เวลาที่จะ “ลุย” ตลาดหุ้นเวียตนามอย่างจริงจังหรือยัง?  และคำตอบของผมก็คือ เวลาที่หุ้นเวียตนามจะ “ออกบิน” หรือ “Takeoff” น่าจะใกล้มาถึงแล้ว  เหตุผลนั้นมีมากมาย  ลองมาดูกัน             ในการที่จะดูว่าตลาดหุ้นจะดีอย่างโดดเด่นในอนาคตระยะยาวนั้น  ผมจะดูถึงปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ  โดยเฉพาะทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศว่าเป็นอย่างไรในอนาคตระยะยาวเป็นสิบ ๆ  ปีหรืออย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป  โดยตัวแรกที่จะดูก็คือ  การเจริญเติบโตของ GDP ของประเทศ  ซึ่งในกรณีของเวียตนามนั้น  นักวิจัยแทบจะทุกสำนักต่างก็มองว่าจะเติบโตสูงมากใน “ระดับโลก” ประสบการณ์ที่ผมเห็นก็คือ  เวียตนามน่าจะโตต่อไปในระดับอย่างน้อย 5-6% ต่อปี ไปอีกไม่น้อยกว่า 10-20 ปี อย่างที่ไทยเคยทำได้ในช่วง “ทศวรรษทอง” ของไทยประมาณระหว่างปี 1987-2007...
แม้ว่านักลงทุนต่างชาติจะขายสุทธิหุ้นเวียดนามในปี 2563 แต่ Diamond ETF กลับมาแรงในหมู่นักลงทุนต่างชาติ การลงทุนมากกว่าล้านล้านด่อง จาก PYN Elite Fund และ CBTC Vietnam Equity of Taiwan ต่างไหลเข้าสู่ Diamond ETF แม้ว่าจะเพิ่งก่อตั้งในเดือนพฤษภาคม 2020 แต่ ETF นี้มีการเติบโตอย่างรวดเร็วจากมูลค่ากอง 100 พันล้านด่อง เป็นมากกว่า 6,600 พันล้านด่อง ณ สิ้นเดือนมกราคม 2021 ถือเป็นการเติบโตกว่า 66 เท่าในเวลาเพียง 8 เดือน ทำให้ VFMVN Diamond กลายเป็นหุ้นอันดับสองใน Ho Chi Minh Stock Exchange ในแง่ของปริมาณการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ (รองจากหุ้น Vinhomes เท่านั้น) ETF เวียดนาม อื่น ๆ เช่น VN30 ETF และ VNFIN LEAD ETF ก็มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี...
เมื่อวานนี้แอดมินได้มีโอกาสได้ Live: 'เวียดนาม' ลงทุนอย่างไรให้ปัง ร่วมกับ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และพี่เผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth ดร.นิเวศน์ฯ ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการลงทุนหุ้นเวียดนาม จึงขอนำมาฝากดังนี้ค่ะ ตอนนี้เวียดนามยังน่าลงทุนอยู่หรือเปล่าคะ? จริงๆ ต้องบอกว่าเวลานี้พร้อมที่สุดแล้วครับ ก่อนหน้านี้ประมาณ 5 ปี ผมก็ไปแล้วก็ผิดหวังไปหลายปี จนล่าสุดทุกอย่างกลับคือมาตามที่เราคาด ผมดูว่าปัจจัยทุกตัวพร้อมหมด ต้องเข้า! เมื่อเช้านี้ยังโอนเงินไปซื้อหุ้นเวียดนามอยู่เลย ซื้อเพิ่มเรื่อยๆ ผมดูว่ารอบที่แล้วที่ไปมันมีบางอย่างไม่พร้อมแต่เรารีบไป อยาก Diversified แล้วก็ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดเวียดนาม ด้วยความรีบเราก็กวาดไปเลย จริงๆ ผมไปเวียดนามตอนแรกดัชนีประมาณ 600 จุด ขึ้นไปเป็นพันหนึ่ง ดูหุ้นเรามันไม่ไปไหน หุ้นที่ขึ้นก็คือหุ้นที่ต่างชาติซื้อ แล้วมันตกลงมา ตอนนี้กลับมาพันหนึ่งใหม่พอร์ตเราก็ขึ้นมาหลายสิบเปอร์เซ็นต์ เทียบกัน 5 ปีกับตลาดหุ้นไทยเราไม่ไปไหนเลย (เวียดนามผลตอบแทนดีกว่า) ผมว่ารอบนี้มันพร้อมทุกอย่าง คือปัจจัยที่ผมดูมันเอื้ออำนวยหมด เรื่องแรก GDP ปีที่แล้วสะดุดโควิดยังโต การเติบโต GDP เข้ามันโตด้วย Fundamental จริงๆ ตอนนี้ประเทศเปลี่ยน การลงทุนเพียบเลย โรงงานใหม่ๆ กำลังสร้าง Foxconn ที่กำลังจ้างคนมหาศาลก็กำลังมา  เศรษฐกิจของเวียดนามเอง ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 6-7% ต่อปี...

Bitcoin = Digital Gold

0
โลกในมุมมองของ Value Investor  13 กุมภาพันธ์ 64 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร โลกในมุมมองของ Value Investor      13 กุมภาพันธ์ 64 การซื้อบิทคอยน์จำนวน 1.5 พันล้านเหรียญและการประกาศว่าเทสลาจะรับบิทคอยน์เป็นค่าซื้อรถเทสลาของ อีลอน มัสก์ เมื่อสัปดาห์ก่อนนั้น ต้องถือว่าเป็น  “ข่าวใหญ่” ในแวดวงธุรกิจ การเงินและการลงทุน  หลังจากที่ข่าวออกไปในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 64 ราคาบิทคอยน์ก็ปรับตัวขึ้นถึง 19% เป็นประมาณ 1.4 ล้านบาทไทยและสูงที่สุดในประวัติศาสตร์  ทำให้มูลค่าทั้งหมดหรือ Market Cap. ของบิทคอยน์เท่ากับประมาณ 8.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ  หรือประมาณ 26 ล้านล้านบาทไทย  แน่นอนว่า “อิทธิพล” ของมัสก์  ได้ช่วยขับเคลื่อนราคาของบิทคอยน์ขึ้นไปมาก  คนคงจะเชื่อมั่นในตัวมัสก์ว่ามองอะไรไม่ผิด  เหนือสิ่งอื่นใด  หุ้นเทสลาของเขาก็มีการปรับตัวขึ้นมามโหฬารในช่วงเร็ว ๆ  นี้จนมีมูลค่าประมาณ 8.2 แสนล้านดอลลาร์ใกล้เคียงกับมูลค่าของบิทคอยน์  ยิ่งไปกว่านั้น  ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา  หุ้นเทสลาปรับตัวขึ้นมาประมาณ 5.6 เท่า  ในขณะที่บิทคอยน์ก็ขึ้นมาประมาณ 4.6 เท่า ใกล้เคียงกัน   ​ถ้ามองทางด้านของ “พื้นฐาน” หรือเหตุผลที่ทั้งสองหลักทรัพย์หรือตราสารมีคล้าย ๆ  กันอีกอย่างหนึ่งก็คือ  เทสลานั้นขายความเป็น  “โลกแห่งอนาคต” ของรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ต้องใช้คนขับที่จะ “ปฏิวัติ” รถยนต์ดั้งเดิมของโลก  ในขณะที่บิทคอยน์เองนั้นก็จะเป็น  “โลกแห่งอนาคต” ของ “เงิน” ที่จะใช้กันทั่วโลกในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า  ดังนั้น  ราคาที่ขึ้นมาแรงและเร็วมากจึงเป็นสิ่งที่สะท้อนว่า  เทสลาจะยิ่งใหญ่มากในโลกของรถยนต์  ในขณะที่บิทคอยน์ก็จะยิ่งใหญ่มากในโลกของเงินที่เรียกว่า “Cryptocurrency” ที่วันหนึ่งคนจะใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันทั่วโลกแทนระบบเงินตราปัจจุบันที่เป็นดอลลาร์  หยวน หรือบาทและอื่น ๆ  ที่เป็นเงินของแต่ละประเทศที่ใช้กันมานาน ​ผมเองไม่อยากที่จะพูดถึงข้อโต้เถียงที่ว่า...

MOST POPULAR