กระจายตลาด
Survivor โลกในมุมมองของ Value Investor   7 พฤศจิกายน 63 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร Survivor ​คนที่เป็น VI นั้น  ผมคิดว่าน่าจะต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งนั่นก็คือ  เขาเป็น  “Survivor” หรือคนที่สามารถ “เอาตัวรอด” ได้ใน  “สถานการณ์ที่ยากลำบาก”  อย่างเช่นในเรื่องของการลงทุนในปัจจุบันนั้น  ถ้าใครที่พอร์ตลงทุนโดยรวมขาดทุนหรือเสียหายไม่เกิน 20-25% และไม่ได้ทำให้ “ชีวิต” เปลี่ยนแปลงไปมาก  ก็ต้องถือว่ายังเป็น Survivor  เหตุผลก็เพราะเศรษฐกิจไทยตกอยู่ในช่วงภาวะ “วิกฤติ”ตลาดหุ้นเองก็เคยตกลงมาหนักกว่า 30% ในช่วงแรก  และแม้แต่ในช่วงล่าสุดก็ยังตกลงมากว่า 20% จากต้นปี  อย่างไรก็ตาม  นี่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าเขาจะยังอยู่รอดได้ไปถึงสิ้นปีหรือในอนาคตข้างหน้าสำหรับวิกฤติรอบนี้  เหตุผลก็เพราะ  วิกฤติรอบนี้ก็ยังไม่จบ  ดัชนีตลาดหุ้นไทยเองก็ยังไม่ได้ฟื้นตัวและกลับทิศไปแน่นอนแล้วอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นในตลาดหุ้นที่ก้าวหน้ากว่าอย่างสหรัฐหรือจีนหรือตลาดหุ้นที่ด้อยกว่าอย่างตลาดหุ้นเวียตนาม ​ในความคิดของผม  คำว่า Survivor ในเรื่องของการลงทุนนั้น  เป็นเรื่อง “ระยะยาว” ที่คน ๆ หนึ่งวางแผนการลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งหรือความมั่นคงทางการเงินแทบจะ  “ตลอดชีวิต”  โดยที่แผนของเขานั้นจะต้องประกอบไปด้วยกลยุทธ์หรือแนวทางหลัก ๆ  3 ประการอย่างที่ผมพูดเปรียบเปรยเสมอมาว่าเหมือนกับ  “แก้ว 3 ประการ” หรือ“ตะเกียง 3 ดวง” ที่ประกอบไปด้วยแก้วดวงแรกคือ  การหาเงินมาลงทุนซึ่งก็มักจะมาจากการทำงานและเก็บออมมาลงทุน  แก้วดวงที่ 2 ก็คือ  การลงทุนอย่างถูกต้องและชาญฉลาดที่จะสร้างผลตอบแทนทบต้นที่สูงต่อเนื่องยาวนาน  และแก้วดวงสุดท้ายก็คือ  การลงทุนด้วยระยะเวลาที่ยาวนานที่สุด  ทั้งสามเรื่องนั้น  ถ้าทำได้ดี  คือแก้วทุกดวงต่างก็สุกสว่าง คือมีเงินมาลงทุนเพิ่มมากขึ้น  ได้รับผลตอบแทนการลงทุนสูง  และลงทุนต่อเนื่องยาวนานไปเรื่อย ๆ  เราก็มักจะมีความมั่งคั่งหรืออย่างน้อยมีความมั่นคงในชีวิตทางการเงิน  แต่ถ้าหากว่าแก้วทุกดวงต่างก็ “ริบหรี่” อนาคตทางการเงินก็ไม่สดใส ​ในช่วงเวลาที่ยาวนานระหว่าง  “การเดินทาง” หรือการสร้างและสะสมความมั่งคั่งนั้น  ทุกคนต่างก็จะต้องประสบกับอุปสรรคที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับความสำเร็จที่ตามมาจากความพยายามและความตั้งใจของเรา  พูดง่าย ๆ  ก็คือ  พอร์ตลงทุนของเราก็จะมีขึ้นมีลง  และถ้าเราลงทุนด้วยหลักและวิธีการที่ดีมากกว่าที่แย่  มันก็มักจะค่อย ๆ  เติบโตขึ้นเรื่อย...
โลกในมุมมองของ Value Investor        31 ตุลาคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร             ในช่วงเร็ว ๆ นี้แทบทุกคนในตลาดหุ้นต่างก็พูดกันว่าเราควรเลือกลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กและหลีกเลี่ยงหุ้นตัวใหญ่ที่มักจะถือโดยนักลงทุนต่างประเทศ  พวกเขามักจะพูดว่าหุ้นตัวเล็กและกลางนั้นจะเติบโตเร็วและดังนั้นมันจึงน่าลงทุน  คนที่ฟังก็มักจะ “เชื่อ”  เพราะหุ้นที่ยังวิ่งดีในภาวะที่เศรษฐกิจยังย่ำแย่และอนาคตที่จะฟื้นตัวและกลับมาโตยังไม่ชัดเจนก็มักจะเป็นหุ้นตัวเล็กและกลางที่มี Free Float ต่ำและมีการเก็งกำไรกันสูงมากโดยอาศัยสตอรี่ที่ว่าผลประกอบการยังดีหรือตกลงมาน้อย  โดยที่หุ้นเหล่านั้น  แทบทั้งหมดก็มักจะมีราคา “แพงเวอร์” หลาย ๆ  ตัวมีราคาสูงกว่าก่อนวิกฤติโควิด-19 ไปมากแล้ว             ส่วนหุ้นตัวใหญ่ที่มีนักลงทุนต่างประเทศและสถาบันถือในปริมาณที่สูงนั้น  คนที่พูดให้หลีกเลี่ยงผมเชื่อว่าเป็นเพราะหุ้นเหล่านั้นต่างก็ตกลงมาอย่างต่อเนื่องอานิสงค์จากการขายหุ้นสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่องคิดเป็นแสน ๆ ล้านบาทในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา  แทบจะไม่มีหุ้นตัวไหนที่วิ่งขึ้นมาได้เลย  หลายกลุ่ม  โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่นั้น  หุ้นตกลงมาต่ำยิ่งกว่าช่วงเกิดโควิด-19 ใหม่ ๆ ที่ดัชนีตลาดตกลงมาถึงจุดต่ำสุดที่ 1,000 จุดเศษ ๆ ไปแล้ว  การตกลงมาอย่างต่อเนื่องน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักวิเคราะห์และ “ผู้เชี่ยวชาญการลงทุน” แนะนำให้  “หลีกเลี่ยง”  เพราะพวกเขามักจะเน้นการลงทุน “ระยะสั้น” ที่หุ้นจะขึ้นหรือลงมักจะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกหรือภาวะของอุตสาหกรรมหรือของตัวหุ้นเอง  แต่ไม่ค่อยจะเกี่ยวกับ “ปัจจัยพื้นฐานระยะยาว” ของบริษัท  หรือพูดง่าย ๆ  ก็คือ   คนในตลาดหุ้นส่วนใหญ่นั้น  แนะนำหรือเชื่อว่าหุ้นที่วิ่งขึ้นคือหุ้นที่ดีและน่าซื้อลงทุน  ส่วนหุ้นที่วิ่งลงคือหุ้นที่แย่และควรที่จะขาย  นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาเป็นระยะเวลายาวนานมากตั้งแต่ที่ผมเข้ามาในตลาดหุ้นไทย             แต่ผมเองกลับคิดว่า  หุ้นที่น่าสนใจลงทุนโดยเฉพาะระยะยาวอย่างผมก็คือหุ้นที่มีราคาตกลงมามาก ...
นาย Yoshihide Suga นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นซึ่งเข้ารับตำแหน่งในเดือนกันยายน 2020 ได้เป็นผู้นำคนแรกที่เดินทางมาเยือนประเทศเวียดนามตั้งแต่เกิดวิกฤติ Covid-19  โดยตระหนักว่าเวียดนามประสบความสำเร็จในการควบคุมการติดเชื้อได้ดีกว่าประเทศอาเซียนอื่นๆ รวมทั้งยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยการส่งออกสินค้าโดยไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว ซึ่งญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกและนำเข้ารายใหญ่อันดับ 3 ของเวียดนาม พบว่ามูลค่าการค้าต่างตอบแทนระหว่างสองประเทศใน 5 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ตามข้อมูลสถิติของทบวงศุลกากร นอกจากนี้ ข้อตกลงการค้าเสรี FTA เวียดนาม-EU ก็ได้มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2020 นับเป็นประเทศลำดับที่ 77 ที่มีข้อตกลงทวิภาคี FTA กับ EU และอยู่ในระหว่างการเจรจากับอังกฤษที่แยกตัวจาก EU รวมทั้งสหรัฐก็ได้แสดงท่าทีสนใจที่เป็นหุ้นส่วนกับเวียดนามด้วย ในขณะที่เวียดนามก็คาดหวังว่านายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นจะสนับสนุนให้บริษัทญี่ปุ่นมาลงทุนในเวียดนามเพิ่มขึ้น เนื่องจากข้อมูลการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment : FDI) ในปี 2019 พบว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศลำดับที่สองที่มีการลงทุน  FDI ในเวียดนามรองจากเกาหลีใต้ และเป็นประเทศคู่ค้าลำดับที่ 4 รองจากจีน สหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ รวมทั้งเป็นประเทศสมาชิกภายใต้ข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership : TPP) นอกจากนี้ ค่าจ้างแรงงานชาวเวียดนามต่ำกว่าจีน และรายได้ของชาวเวียดนามโน้มสูงขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มประชากรหนุ่มสาวจึงเป็นโอกาสของการลงทุนในบริษัทธุรกิจภาคบริการ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 22 ต.ค. 63 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​เวลาคนพูดถึงวอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น  ภาพแรกที่นึกถึงก็คือ  เขาเป็นนักลงทุนหมายเลขหนึ่งของโลกและทำผลงานการลงทุนที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล หุ้นตัวไหนที่บัฟเฟตต์เข้าซื้อ  หุ้นตัวนั้นก็มักจะวิ่งขึ้นแบบ “ติดจรวด”  ดังนั้น  พอร์ตการลงทุนของเขาแต่ละปีก็น่าจะดีเยี่ยม  และแน่นอน  จะต้องเอาชนะตลาดแบบ “ขาดลอย” บางคนอาจจะเคยได้ยินว่าปี ๆ หนึ่งผลตอบแทนที่ได้นั้นหลายสิบเปอร์เซ็นต์และแทบจะไม่ค่อยติดลบเลย  แต่ทั้งหมดนั้น  เป็นจริงหรือ?  เรามาดูกันว่าผลงานการลงทุนตลอดชีวิตของบัฟเฟตต์เป็นอย่างไร? ​วอเร็น บัฟเฟตต์ เกิดในปี 1930 ซึ่งภาวะเศรษฐกิจอเมริกันและโลกอยู่ในช่วง Great Depression หรือวิกฤติครั้งใหญ่ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1929 ที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา นับถึงวันนี้เขาก็มีอายุครบ 90 ปีแล้ว  ตามประวัตินั้น  ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเริ่มรู้ความเขาก็  “ลงทุน” แล้ว  เช่น  ลงทุนขายน้ำในงานรื่นเริงของท้องถิ่น  แต่หุ้นตัวแรกที่เขาซื้อนั้นเกิดขึ้นตอนเขาอายุแค่ 11 ขวบ  พอเรียนจบมหาวิทยาลัยตอนอายุประมาณ 21 ปี  เขาก็เริ่มทำงานทางด้านหลักทรัพย์ในฐานะที่เป็นนักวิเคราะห์และบริหารกองทุนรวมเป็นเวลาสั้น ๆ  หลังจากนั้นเมื่ออายุ 26 ปี เขาก็จัดตั้งและบริหารกองทุนที่เป็นห้างหุ้นส่วนเองโดยมีเงินที่มีคนมาลงทุนเริ่มต้นประมาณ 100,000 เหรียญ โดยที่เป็นเงินส่วนของเขาเองเพียงเล็กน้อย  แต่เขาจะได้รับส่วนแบ่งจากกำไรที่สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดด้วยทุกปี จากวันนั้น  เขาก็ลงทุนมาตลอดจนถึงวันนี้คิดเป็นเวลา 60-70 ปี และกลายเป็นตำนานของนักลงทุนที่ยังมีชีวิตอยู่ ​สถิติการลงทุนของวอเร็น บัฟเฟตต์ ในแง่ของความมั่งคั่งส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  เป็นระยะเวลายาวนานนั้น  มีการบันทึกไว้โดยผู้ที่ติดตามประวัติและผลงานย้อนหลังของเขาซึ่งพอจะ “ประมาณ” เป็นมูลค่าที่ผมจะกล่าวต่อไป  ซึ่งผมเองคิดว่า  ในช่วงแรก ๆ ก่อนที่เขาจะดังและมีเงินจำนวนมากนั้น  น่าจะเป็นตัวเลขที่อาจจะคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงได้มาก  นอกจากนั้น  ในช่วงที่ยังมีความมั่งคั่งไม่มาก  เงินที่เพิ่มขึ้นมาของเขายังมาจากเงินที่ได้จากการทำงานโดยเฉพาะเงินส่วนแบ่งกำไรจากการบริหารกองทุนของเขา หรือเปรียบง่าย ๆ  ก็คือ...
เศรษฐกิจเวียดนามปี 2021 คาดการณ์ขยายตัวร้อยละ 6.5 คณะรัฐมนตรีเวียดนามตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2021 อย่างท้าทายให้ขยายตัวร้อยละ 6.5 ถึงแม้ว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2020 จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงร้อยละ 1.8 และประมาณการทั้งปีมีอัตราการเติบโตระหว่างร้อยละ 2-2.5 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการสร้างวิกฤติเป็นโอกาสของรัฐบาลในช่วงเกิดวิกฤติ Covid-19 ซึ่งรัฐบาลใช้มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ การรักษาระดับการทำงานและการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกตอบสนองตลาดที่สำคัญเข่น สหรัฐอเมริกา รวมทั้งคาดการณ์ว่าโลกจะสามารถผลิตวัคซีน Covid-19 สำเร็จซึ่งจะส่งผลให้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาประเทศเวียดนามเพิ่มขึ้น เสริมทัพกับอัตราการท่องเที่ยวภายในประเทศที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 6 ประกอบกับการส่งออกสินค้าไป EU ภายใต้กรอบความร่วมมือ FTA มีการขยายตัวตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้อย่างต่อเนื่องด้วย ที่มา : forbes.com, Sep 22,2020 โดย : แดน ตะวัน
โลกในมุมมองของ Value Investor      17 ตุลาคม 63 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร             เมื่อคืนและจนถึงนาทีที่กำลังเขียนบทความนี้ คือเช้าวันที่ 17 ตุลาคม 2563 ผมกำลังนั่ง “ร้องไห้” จากเหตุการณ์ “น่าเศร้า” ของการเมืองในประเทศไทยที่กำลังเกิดขึ้น  ที่จริงผมเคยร้องไห้แบบนี้มาอย่างน้อยครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ที่เกิดเหตุการณ์  “มหาวิปโยค” ในวันนั้นผมกำลังนั่งอยู่บนรถเมล์เพื่อที่จะกลับบ้าน  คนทั้งคันรถต่างก็ร้องไห้  ผมจำได้ว่าควักเงินที่มีอยู่น้อยนิดใส่ลงในกล่องที่มีคนเดินขอรับบริจาค  นั่นเป็นเวลา 47 ปีมาแล้วและผมอายุ 20 ปี เรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 ในมหาวิทยาลัย  ในช่วงนั้น เหตุการณ์ต้องบอกว่ารุนแรงกว่าครั้งนี้มาก  มีคนตายและบาดเจ็บจำนวนมาก  หลังจากเหตุการณ์  บ้านเมืองก็  “เปลี่ยน” กลายเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยมากขึ้น  แต่ก็เป็นแค่ช่วงสั้น ๆ  หลังจากนั้น  ประเทศไทยก็มีการปกครองแบบ  “ลุ่ม ๆ ดอน ๆ” มาตลอดจนถึงทุกวันนี้  แต่ทางด้านสังคมนั้น  คนไทยก็พัฒนามาเรื่อย ๆ  ตามการเปลี่ยนแปลงของโลกและการพัฒนาการทางเศรษฐกิจของไทย             ทางด้านเศรษฐกิจนั้น  ต้องบอกว่าเราทำได้ดีมากจนถึงวันนี้  เราใกล้จะถึงจุดที่มีรายได้สูงพอที่จะเป็นประเทศร่ำรวยแล้ว  ทางด้านสังคมนั้น  ก็ต้องบอกว่าสังคมไทยมีความก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย ...
โลกในมุมมองของ Value Investor  10 ตุลาคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​วิกฤติโควิด-19 นั้น  เมื่อเวลาผ่านมาประมาณ 8-9 เดือนแล้วก็ดูเหมือนว่าจะรุนแรงกว่าที่ทุกคนคิด  เพราะการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจ “ล่าสุด” นั้น  บ่งบอกว่าวิกฤติครั้งนี้น่าจะรุนแรงไม่แพ้ “ต้มยำกุ้ง” ที่เกิดขึ้นในปี 2540  คือปีแรกที่เกิด  เศรษฐกิจติดลบถึงประมาณเกือบ 10% และหลังจากนั้นก็จะฟื้นตัวดีขึ้นประมาณ 4-5% ต่อปีในอีก 2-3 ปีข้างหน้า  สิ่งที่อาจจะแตกต่างกันก็คือ  ความ “เจ็บปวด” ของผู้คนในวิกฤติปี 2540 คือ  “คนรวย”ที่เป็นเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่บริษัทแทบล้มละลายและขาดสภาพคล่องทางการเงินเพราะค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมากและธนาคารไม่มีเงินจะให้กู้  ตรงกันข้าม  วิกฤติโควิด-19 นั้น  คนที่เจ็บปวดก็คือ  “คนจน” ที่ต้องตกงานหรือต้องลดเงินเดือนลงเพราะ “ไม่มีงานจะทำ” และธุรกิจ SME ที่อาจจะต้องเจ๊งเพราะขายของไม่ได้   ​สิ่งที่ตามมาจากความแตกต่างของวิกฤติทั้งสองครั้งนั้นก็คือตลาดหุ้น  หลังวิกฤติปี 2540  อานิสงค์จากการที่ระบบการเงิน “ล่มสลาย”และคน  “เคยรวย” ต่างก็ไม่มีเงินที่จะมาลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์  ปริมาณการซื้อขายหุ้นจึงลดลงมากและส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นตกต่ำลงต่อเนื่องยาวนาน  จริงอยู่  ดัชนีก็มีการปรับตัวขึ้นบ้างเป็นระยะ  แต่ปริมาณการซื้อขายก็มีน้อยมาก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนต่างก็ย่ำแย่แทบเอาตัวไม่รอด  เหตุผลที่จะลงทุนซื้อหุ้นจึงแทบไม่มีแม้ว่าราคาหุ้นบางตัวจะต่ำมากจนแทบไม่น่าเชื่อ  หุ้นระดับ  “ซุปเปอร์สต็อก” บางตัวอาจจะขายในราคา PE ไม่เกิน 10 เท่าเนื่องจากราคาหุ้นตกลงมามากแต่ก็ไม่มีใครต้องการ  นักลงทุนส่วนบุคคลทั้งรายย่อยและรายใหญ่ต่างก็หายไปจากตลาด  ในตอนนั้นไม่มีใครพูดว่า  “วิกฤติคือโอกาส”  ​วิกฤติโควิด-19 นั้น  ตลาดหุ้นกลับคึกคักขึ้น อานิสงค์จากการที่มีเม็ดเงินและสภาพคล่องในระบบสูงขึ้น  “คนรวย” มีเงินสดเหลือเฟืออานิสงค์จากการที่ประเทศไทยลดระดับการลงทุนในธุรกิจลงมานาน  ส่วนคนชั้นกลางระดับสูงต่างก็เก็บเงินเพื่อการเกษียณ  และอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดลดต่ำลงเป็นประวัติการณ์ ดังนั้น  พวกเขาจึงย้ายเงินมาลงทุนในตลาดหุ้น  นับเฉพาะจากต้นปีถึงวันนี้  นักลงทุนส่วนบุคคลซื้อหุ้นสุทธิไปแล้วกว่า 200,000 ล้านบาท  เช่นเดียวกับนักลงทุนสถาบันที่ซื้อสุทธิไปกว่า 70,000 ล้านบาท  คำพูดที่ว่า  “วิกฤติคือโอกาส” ได้รับการกล่าวขวัญกันทั่วไป...
ทำไมนายกฯ ญี่ปุ่น เลือกเยือนเวียดนามเป็นประเทศแรกหลังรับตำแหน่ง ?.ซุกะ โยชิฮิเดะ เลือกเยือนเวียดนามและอินโดนีเซียเป็นประเทศแรก หลังจากรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า เพราะเวียดนามกำลังเติบโตทั้งด้านเศรษฐกิจและอาจมีอิทธิต่ออาเซียนในอนาคต.สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า 'โยชิฮิเดะ ซุกะ' นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นจะเดินทางเยือน 'เวียดนาม' และ 'อินโดนีเซีย' ในช่วงกลางเดือน ต.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกของโยชิฮิเดะ หลังจากขึ้นมารับตำแหน่งนายกฯ ญี่ปุ่น และยังเป็นการเดินทางตามรอยชิโส อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นที่เลือกเดินทางเยือนเวียดนามเป็นลำดับแรกเช่นกันเมื่อดำรงตำแหน่งนายกฯ รอบที่ 2 เมื่อปี 2555.นิคเคอิ สื่อญี่ปุ่นวิเคราะะห์ว่า การเดินทางเยือนเวียดนามและอินโดฯ เป็นการสานต่อนโยบายต่างประเทศของชิโส อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ตามนโยบายเสรีและเปิดประตูสู่อินโด-แปซิฟิก ขณะที่เอเชียไทม์ชี้ว่า ในด้านความมั่นคงญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามวิสัยทัศน์ Vientiane Vision และด้วยภูมิศาสตร์ของเวียดนามเป็นเสมือนใจกลางภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงยังเป็นหน้าด่านของภูมิภาคอินโดแปซิฟิก ดังนั้นเวียดนามจึงเป็นประเทศที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกในภูมิภาค.นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังมองว่า ในปี 2563 เวียดนามดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน และเวียดนามยังมีศักยภาพในการเป็นผู้นำอาเซียนในเชิงพฤตินัยอีกด้วย ซึ่งอนาคตญี่ปุ่นมองว่า เวียดนามจะมีอิทธิพลเป็นอย่างมากในด้านความมั่นคงของภูมิภาคนี้ จากภูมิศาสตร์ของประเทศและศักยภาพทางเศรษฐกิจ และญี่ปุ่นยังต้องการสร้างความสัมพันธ์กับเวียดนามในด้านความมั่นคงของภูมิภาค รวมทั้งญี่ปุ่นกำลังพยายามหาพันธมิตรในกลุ่มประเทศอาเซียนเพื่อรักษาเสถียรภาพในภูมิภาคนี้ เพื่อลดการเติบโตของจีนในภูมิภาคนี้.ในปี 2562 ญี่ปุ่นเป็นผู้ลงทุนใหญ่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากเกาหลีใต้ โดยมีการยื่นโครงการลงทุน 4,385 โครงการเป็นมูลค่าการลงทุนกว่า 59,330 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา...
โลกในมุมมองของ Value Investor 3 ต.ค. 63 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปรากฏการณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งในแวดวงของ Social Media ในประเทศไทยในระยะหลังนี้ก็คือสิ่งที่เรียกกันว่า  “ทัวร์ลง” ซึ่งก็คือการที่ผู้เล่นหรือผู้ใช้สื่อดิจิตอลสมัยใหม่โดยเฉพาะในทวิตเตอร์จำนวนมากเข้ามาโพสต์และ/หรือมาดู รูป  วิดีโอ  และเขียนความคิดเห็น ในประเด็นต่าง ๆ  ที่เป็นที่สนใจในสังคมขณะนั้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นประเด็นที่คนที่อยู่ในกลุ่มรู้สึกไม่พอใจและอยากที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  จำนวนของคนที่เข้าไปดู  คุยกันหรือคอมเม้นต์นั้นจะต้องมีจำนวนมาก และมักจะติดอันดับสูงที่สุด 10 อันดับ ในขณะนั้น  ส่วนประเด็นที่เกิดขึ้นก็มักจะเป็นเรื่องทางการเมืองและสังคมที่เป็นเรื่อง Controversy คือมีความเห็นที่แตกต่างกันสูงในสังคมของไทย  ซึ่งในอดีตนั้น  ความขัดแย้งหรือความไม่พอใจก็มักจะถูกปิดไว้หรือไม่สามารถที่จะกระจายเป็นวงกว้างสู่คนจำนวนมากเนื่องจากข้อจำกัดของ “สื่อรุ่นเก่า” ที่มักถูกควบคุมโดยรัฐ เช่น ทีวีหรือวิทยุ  หรือถูกควบคุมโดยกิจการขนาดใหญ่เช่นหนังสือหรือสิ่งพิมพ์ที่มีจำนวนน้อยและต้นทุนในการทำงานสูงและเป็น “สื่อทางเดียว” ที่มีประสิทธิภาพต่ำ เรื่องที่ทำให้ “ทัวร์ลง” นั้น  ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเรื่องของ “การเมือง” ในความหมายที่กว้าง  นั่นก็คือ  รวมไปถึงเรื่องทางสังคมที่เป็นอานิสงค์จากการเมือง  เช่น  เรื่องของสิทธิมนุษยชน  ความเท่าเทียมของคน  การจัดสรรทรัพยากรของประเทศ  เสรีภาพในการใช้ชีวิต  เป็นต้น  ส่วนในเรื่องของการเมืองตรง ๆ  ก็เช่น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับระบบการปกครอง  ความยุติธรรม  นโยบายและการปฏิบัติของรัฐบาล  เป็นต้น  ผลจากการที่มี “ทัวร์ลง”...
โลกในมุมมองของ Value Investor 26 ก.ย. 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ในฐานะที่เป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยและเวียตนาม  ผมเองได้ติดตามดูผลงานของตลาดทั้งสองแห่ง  ทั้งทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ  ดัชนีตลาดหุ้น  และตัวหุ้นที่จดทะเบียนในตลาด  และก็แน่นอนว่า  ก็เปรียบเทียบผลงานพอร์ตหุ้นทั้งสองของผมว่าพอร์ตไหนมีผลตอบแทนดีกว่ากันและมองด้วยว่าอนาคตพอร์ตไหนน่าจะมีโอกาสเติบโตมากกว่าด้วย  ในการเปรียบเทียบนั้น  ผมจะดูดัชนีหุ้นของทั้งสองแห่งเป็นหลัก ตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินของเวียตนามเพิ่งจะเปิดเมื่อปี 2000 ปี  และเนื่องจากเป็นตลาดเปิดใหม่  การ “เก็งกำไร” จึงน่าจะรุนแรงมาก  ดัชนีตลาดวิ่งจาก 100 จุด ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ประมาณ 1,140 จุดหรือ 11 เท่าภายใน 7 ปีและนั่นเกิดขึ้นตอนต้นปี 2007  ซึ่งก็ถือเป็น “ฟองสบู่ลูกแรก”  ของเวียตนาม  ในช่วงเวลาเดียวกัน  ดัชนีตลาดหุ้นของไทยเอง  ก็ปรับตัวขึ้นสูงสุด  จากประมาณ 200 จุด  ซึ่งเป็นดัชนีต่ำสุดหลังวิกฤติปี 2540 หรือปี 1997 กลายเป็นประมาณ 910 จุดในช่วงปลายปี 2007 เหมือนกัน  จากปี 2007 ซึ่งเป็นปีที่ดัชนีตลาดหุ้นทั้งไทยและเวียตนามปรับตัวขึ้นเป็นจุดสูงสุดหลังวิกฤติปี 1997  ดัชนีตลาดหุ้นทั้งสองแห่งก็ประสบกับวิกฤติปี 2008 หรือวิกฤติซับไพร์มที่เกิดขึ้นในอีกประมาณ 10 ปีต่อมาหลังวิกฤติ...

MOST POPULAR