อายุน้อยร้อยล้าน
ยุคนี้จะทำธุรกิจแค่ภายในประเทศของตัวเองอย่างเดียวไม่ได้อีกแล้ว !! EP นี้ ผมพามาดูโอกาสธุรกิจที่เวียดนาม ประเทศที่ชื่นชอบสินค้าไทย และเปิดรับธุรกิจของคนไทยอย่างเต็มที่.เป็นอีกครั้งที่ผมได้มีโอกาสเดินทางไปดูเศรษฐกิจที่ นครโฮจิมินห์ เมืองเศรษฐกิจทางใต้ ของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ที่มีประชากรกว่า 18 ล้านคน จากประชากรทั้งหมดของประเทศ 97 ล้านคน
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหุ้นเวียดนามตัวที่แอดเล็งไว้นาน ตกมากจนอยากซื้อ ฤกษ์ดีแบบนี้ แอดเลยได้ลองโอนเงินไปลงทุนหุ้นเวียดนามตามกฏใหม่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นครั้งแรก จะยากง่าย ดีไม่ดีอย่างไรนั้นเรามาติดตามกันได้เลยค่ะ -- ที่มา ธปท. ปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อเอื้อให้เงินทุนไหลออกและลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาท สำหรับการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ซึ่งเริ่มใช้กฏนี้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2562 กฏสำหรับนักลงทุน เปิดเสรีให้นักลงทุนรายย่อยสามารถออกไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้เองในวงเงิน 200,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี (6 ล้านกว่าบาทต่อปี) จากเดิมที่ต้องผ่านตัวกลางในประเทศ หรือต้องมีสินทรัพย์ตามเงื่อนไขที่กำหนด) เพิ่มวงเงินรวมสำหรับการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศที่จัดสรรให้นักลงทุนภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)...
” Chris Freund หุ้นส่วนของ Mekong Capital Ltd.กล่าวว่าขณะนี้ดัชนี VN ซื้อขายที่ 12.8 เท่าของกำไรในช่วง 12 เดือนข้างหน้านับว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่ สิงหาคม 2017 และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยสามปีที่ 14.8 เท่า “ (Bloomberg) – สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามผลตอบแทนหลัง Tet แย่พอกับหุ้นจีน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ SSI...
หลังจากเมื่อวานนี้ช่วงเช้าดัชนีหุ้นเวียดนาม ลดลงต่ำกว่า 900 จุดเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี ซึ่งถือว่าเป็นการปรับฐานครั้งสำคัญ ซึ่งก็ถือว่าเป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาส แต่เหนืออารมณ์ตลาดเราควรมาดูสถานการณ์จริงในปัจจุบันดีกว่าค่ะ 7.00 น. 3 กุมภาพันธ์ 2020 จำนวนผู้ติดเชื้อ coronavirus ของเวียดนามเพิ่มขึ้นเป็น 8 คน และ มีผู้ต้องสงสัย 92 คน สิ่งที่เวียดนามทำ เวียดนามระงับสายการบินทั้งหมดจากจีนแผ่นดินใหญ่...
ช่วงเช้าวันนี้ ดัชนี VN ลดลงต่ำกว่า 900 จุดเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 1 ปี (เวลา 9:25 น. VN-Index ลดลง 37.84 จุด (4.04%) เป็น 898.78 จุด) ก่อนจะปรับขึ้นมายืนเหนือ 900 จุดได้ แอดรีบเช็คข่าวว่าเกิดอะไรขึ้นและขอสรุปประเด็นดังนี้ค่ะ ความกังวลเกี่ยวกับการแพร่กระจายของเชื้อ nCoV (Corona)...
เปิดปี 2020 ด้วยเรื่องใหญ่ๆ ที่กระทบกับตลาดหุ้นมากมาย และสิ่งที่ทั่วโลกเป็นกังวลอยู่ ณ. ขณะนี้คงไม่พ้นไวรัสโคโรน่า ทีมงาน VVI ชาวเวียดนามจัดทำ Infographic ถึงผลของตลาดหุ้นเวียดนามต่อโรคไวรัสโคโรน่า มาให้แอดมินเล่าสู่กันฟังค่ะ แต่ก่อนอื่นเรามาดูประวัติของไวรัสโคโรน่ากันก่อน ต้นกำเนิดไวรัสโคโรน่า: เมืองอู่ฮั่น (Wuhan) ประเทศจีน และเริ่มติดต่อไปยังเมืองอื่นๆ ของจีนและประเทศต่างๆ ในโลก วันศุกร์ที่ผ่านมามีการยืนยันผู้ติดเชื้อโคโรน่าที่...
โลกในมุมมองของ Value Investor        1 กุมภาพันธ์ 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​การประกาศซื้อหุ้นคืนของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่อย่างธนาคารกสิกรไทยหรือ KBANK และช.การช่างหรือ CK เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปกว่า 5% ในทันทีนั้น  เป็นเรื่องราวพิเศษที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยในตลาดหุ้นไทย  ในความคิดของผมและอาจจะนักลงทุนอีกหลายคนนั้นคงมองว่าผู้บริหารของทั้งสองบริษัทเห็นว่าราคาหุ้นของตนเอง  “ต่ำเกินไป”  เทียบกับพื้นฐานที่แท้จริงของกิจการแต่นักลงทุนอาจจะมองไม่เห็น  หรืออาจจะเห็นแต่คิดว่ามูลค่าหรือคุณค่านั้นถูก “เก็บ” หรือ“กัก” ไว้ในบริษัทไม่สามารถปล่อยออกมาให้กับผู้ถือหุ้นได้  ดังนั้นพวกเขาก็ไม่ให้คุณค่ากับทรัพย์สินเหล่านั้น  การที่บริษัทประกาศซื้อหุ้นคืนเป็นหนึ่งในวิธีที่จะ  “ปลดปล่อยคุณค่าของหุ้น” ทำให้หุ้นมีคุณค่าหรือมูลค่ามากขึ้น  และก็ดูเหมือนว่าจะทำได้สำเร็จในระดับหนึ่ง  ผมเองก็หวังว่าต่อจากนี้จะมีบริษัทหรือหุ้นที่สามารถและเต็มใจที่จะ  “ปลดปล่อยคุณค่า” ของหุ้นที่ถูกเก็บหรือกักไว้มากขึ้น   และต่อไปนี้ก็คือวิธีการที่อาจจะเลือกทำได้ ​สำหรับบริษัทที่มีเงินสดมากพอและไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไรนั้น  วิธีที่ง่ายและควรทำที่สุดก็คือการจ่ายปันผลออกไปให้มากขึ้น  แต่ถ้าจะยิ่งดีขึ้นไปอีกก็คือการประกาศซื้อหุ้นคืนอย่างมีนัยสำคัญเช่น 10% ของบริษัทและต้อง “ซื้อจริง ๆ” ไม่ใช่ประกาศแล้วถึงเวลาหุ้นตกลงมามากก็ไม่ซื้อ  หุ้นขึ้นไปบ้างก็ไม่ซื้อ  การตั้งใจซื้อจริงจะทำให้จำนวนหุ้นน้อยลงและกำไรต่อหุ้นจะเพิ่มขึ้น  ทำให้ปันผลในอนาคตก็จะเพิ่มขึ้นราคาหุ้นก็มักจะเพิ่มขึ้น...
พอดีวันนี้แอดได้รับ inbox ว่า "สวัสดีครับแอดมิน พอจะเรื่องโรคโคโรน่า ที่เวียดนาม มาอัพเดทกันบ้างมั้ย รอรับชมครับ ขอบคุณครับ" ทางเพจจึงรวบรวมข้อมูลมา Update ให้ฟังดังนี้ค่ะ สถานการณ์โลก เวลา13:00 น. 29 ม.ค. 62 อัปเดตยอดผู้ป่วยสะสมทะลุ 6,000 เสียชีวิตแล้ว 132 ราย...
บทความนี้จะมาแนะนำและอัพเดตข้อมูลหุ้นรายตัว ที่ยังคงอยู่ในกลุ่ม 30 หุ้นที่ทำกำไรมากที่สุดในปี 2019 ของเวียดนามค่ะ เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของเวียดนาม FPT Corporation หรือ FPT ค่ะ ภาพรวม • FPT เป็นบริษัทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม มีธุรกิจหลักคือ โทรคมนาคม การศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศ อาทิ  การจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าไอที, ส่งออกซอฟต์แวร์, การรวมระบบ, บริการอินเตอร์เน็ต เป็นต้น รวมถึงธุรกิจการลงทุนและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ • ผู้ก่อตั้งบริษัท Truong Gia Binh ได้รับการขนานนามว่าเป็น Bill Gates แห่งเวียดนาม และเป็นนักธุรกิจชาวเวียดนามคนแรกที่ได้รับรางวัลจาก Nikkei Asia จากกลุ่ม Nikkei ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย • เป็นหนึ่งในบริษัทที่ไม่ใช่กิจการของรัฐที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนาม และกำลังขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ที่ปัจจุบันมีการดำเนินการแล้วใน 45 ประเทศทั่วโลก โดยที่ผ่านมาได้เข้าซื้อบริษัทไอทีในสโลวะเกีย และบริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ • บริษัทในเครืออาทิ - FPT Software Company Limited - FPT Information System Company Limited - FPT Investment JSC - FPT Education...
โลกในมุมมองของ Value Investor         25 มกราคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ตั้งแต่กระแส Disruption หรือการทำลายล้างธุรกิจดั้งเดิมโดยเทคโนโลยีใหม่ที่อิงกับดิจิตอลเกิดขึ้นเต็มที่ทั่วโลก  เราก็ได้เห็นหลาย ๆ  ธุรกิจหรือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลาย ๆ  ตัวตกต่ำลงแทบจะเป็น  “หายนะ” การที่หุ้นตกลงมาครึ่งหนึ่งของจุดสูงสุดเป็นเรื่องปกติ  บางกลุ่มหรือบางตัวตกลงมาเหลือแค่ 10%  เจ้าของซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บางคนนั้นเปลี่ยนสถานะจากมหาเศรษฐีกลายเป็นเศรษฐีธรรมดา  หลายคนจากเศรษฐีก็เหลือแค่เป็นคนรวยธรรมดา ๆ  คนหนึ่งในเวลาเพียงไม่กี่ปี  คนที่ลงทุนในหุ้นที่ถูกหรือกำลังถูก Disrupt นั้นต่างก็ขายหุ้นหนีตาย  หุ้นถูกหลีกเลี่ยงโดยนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็นนักลงทุน “ผู้รอบรู้” หรือเป็น “VI” ไม่ว่าราคาจะตกลงมาเท่าไร  ครั้นจะสวิทซ์หุ้นจากหุ้นที่ถูกหรือกำลังถูก Disrupt เป็นหุ้นที่กำลัง Disrupt คนอื่น  ก็หาไม่ได้ในตลาดหุ้นไทย  ต้องไปลงทุนข้ามประเทศในตลาดใหญ่อย่างอเมริกาหรือจีน  ซึ่งยังมีอุปสรรคไม่น้อย  แถมราคาหุ้นก็ดูเหมือนว่าจะแพงมาก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ตนเองอาจจะยังมีความรู้หรือความเข้าใจไม่พอว่าควรจะเข้าตอนไหน แต่สำหรับผมแล้ว  “ในวิกฤติก็มีโอกาสเสมอ โดยเฉพาะในตลาดหุ้น”  ข้อแรกก็คือ  มันจะต้องวิกฤติก่อน  แล้วเราถึงจะหาโอกาส  ความหมายของผมก็คือ  มองหาหุ้นที่ราคาตกลงมามากจน “ถูกมาก”  ซึ่งคำว่าถูกมากนี้ต้องวัดด้วยมาตรวัดทุกค่า  เช่น  ค่า PE PB Dividend Yield และ Market Cap. หรือรวมถึงตัวอื่น ๆ  ที่อาจจะใช้ได้  ถ้าค่าทุกค่านั้นบ่งบอกว่าหุ้นมีราคา “ถูกมาก” อย่างที่  “ไม่เคยปรากฏมาก่อน”  แบบนี้ก็ชัดเจนว่าหุ้นกำลัง  “วิกฤติ” อย่างไรก็ตาม ถ้ามีค่าบางตัว เช่น ค่า PE อาจจะไม่ต่ำ  หรืออาจจะติดลบเลย  แต่เป็นเหตุการณ์เฉพาะครั้งเดียว  หุ้นก็ยังสามารถพูดได้ว่าถูกมาก  วัดจากตัวเลขอื่น ๆ  ได้  โดยเฉพาะจากค่า Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นทั้งหมดของบริษัทเทียบกับที่เคยเป็นมา “โอกาส” ที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือ  ธุรกิจหรือหุ้นที่คนคิดว่าถูก Disrupt หรือกำลังถูก Disrupt นั้น  ไม่ถูก Disrupt จริง หรือถูก Disrupt แค่บางส่วน  หรือใช้เวลานานมากก่อนที่มันจะถูกทดแทนได้ทั้งหมดซึ่งทำให้ธุรกิจยังคงหากินหรือทำกำไรได้ไปอีกนานและคุ้มที่จะลงทุน    ถ้าเราเจอหุ้นแบบนี้ที่มีราคาตกลงมามากเกินไป  มันก็อาจจะเป็นโอกาสที่เราจะเข้าไปลงทุนและทำผลตอบแทนทบต้นได้ดีพอ เช่น  10-15% ต่อปีต่อเนื่องไปอีกซัก 10 ปี  เป็นต้น การวิเคราะห์เพื่อหาซีนาริโอว่าหุ้นที่ตกลงมามากจากความกลัวว่ามันจะถูก Disrupt จะเป็นแบบไหนจริง ๆ  นั้น  ไม่ใช่เรื่องง่ายนักและจะต้องคำนึงถึงเรื่องของท้องถิ่นหรือสถานที่ตั้งของธุรกิจซึ่งส่วนใหญ่ก็คือประเทศไทยด้วย  และต่อไปนี้ก็คือธุรกิจบางอย่างที่ผมมอง หุ้นแบ้งค์ขนาดใหญ่ที่ให้บริการการเงินทุกรูปแบบนั้น  ผมคิดว่ากำลังถูก Disrupt บางส่วนโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการโอนเงินและแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ  รายได้และกำไรคงหายไปอย่างมีนัยสำคัญแต่ธุรกิจอื่น เช่น  การปล่อยสินเชื่อหากินจากส่วนต่างของดอกเบี้ย  การบริหารเงินและบริหารความเสี่ยงให้ลูกค้า  การขายประกันและผลิตภัณฑ์ทางการเงินการลงทุน  ก็ยังน่าจะอยู่ไปอีกนาน  นอกจากนั้น  ธนาคารยังสามารถลดต้นทุนของการให้บริการโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ต้องใช้คนและสาขาลงได้ไม่น้อยเมื่อเวลาผ่านไป  ดังนั้น  แบ้งค์โดยรวมจึงน่าจะยังไม่ถูกDisrupt  และผมคิดว่าการที่หุ้นแบ้งค์หลาย ๆ  ตัวตกลงมาแรงนั้น  น่าจะเป็น  “โอกาส”  ในการลงทุน   อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้อาจจะมีประเด็นเรื่องของภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้เกิดหนี้เสียมากขึ้นและความต้องการสินเชื่อลดลง  ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อาจจะต้องพิจารณาร่วมด้วย ธุรกิจ “สื่อดั้งเดิม” ทั้งหลายซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงทีวี  หนังสือพิมพ์  สื่อนอกบ้าน  ผมคิดว่า ถูก Disrupt อย่างรวดเร็วและยังไม่จบ  ราคาหุ้นที่ตกลงมานั้นเรียกว่าเป็นวิกฤติระดับ  “หายนะ” คนจำนวนมากยังทยอยเลิกดูทีวี  หนังสือพิมพ์วารสารต่าง ๆ  เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  ผมเองที่เคยติดละครหลังข่าวบนจอทีวีนั้น  ก็เพิ่งจะเลิกเปิดทีวีไปหลายเดือนแล้วตามภรรยาซึ่งเลิกดูละครผ่านทีวีแต่หันไปดูในไอแพดแทน  ดังนั้น  หุ้นในกลุ่มนี้ที่ตกลงมามากเป็นวิกฤติแต่โอกาสที่จะซื้อลงทุนก็อาจจะไม่เกิด  ราคาที่ลงไปนั้น  อาจจะเหมาะสมกับธุรกิจที่ค่อย ๆ  ลดค่าลงไปเรื่อย ๆ  และไม่รู้ว่าจะหยุดเมื่อไร ห้างค้าปลีกแบบมีหน้าร้านโดยเฉพาะที่เป็นช็อบปิ้งมอลขนาดใหญ่นั้น  ราคาหุ้นก็ลงมาบ้างเหมือนกันแต่ไม่มากขนาดเป็นหายนะ  แม้ว่ากำไรจะโตช้าลงมากหลายคนก็ยังคิดว่าหุ้นในกลุ่มนี้ยังน่าสนใจลงทุน  คำถามสำคัญก็คือ  ห้างแบบนี้ในประเทศไทยในที่สุดจะค่อย ๆ  ตกต่ำลงเพราะถูก Disrupt จากการค้าขายผ่านทางอินเตอร์เน็ตแบบที่เกิดขึ้นในประเทศพัฒนาแล้วอย่างในอเมริกาหรือไม่?   นอกจากนั้น  ธุรกิจอย่างการขายอาหารที่มีหน้าร้านก็ดูเหมือนว่ากำลังถูกท้าทายโดยการขายอาหารแบบดีลิเวอร์ลี่ผ่านแอ็ปต่าง ๆ  สุดท้ายภัตตาคารจะแย่หนักไหม? คำตอบเรื่องนี้คงต้องดูเป็นธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ไป  กลุ่มแรกพวกเมกาสโตร์ ที่ขายสินค้าทั่วไปที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ผมคิดว่ากำลังถูก Disrupt อย่างช้า ๆ  เมื่อคนเริ่มสั่งของจากที่บ้านและพบว่ามีความสะดวกสบายมากขึ้นเรื่อย ๆ  อานิสงค์จากความก้าวหน้าของการทำโลจิสติกส์ที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ  ดังนั้น  คนมีเหตุผลที่จะต้องไปซื้อที่ห้างน้อยลง  การเติบโตของยอดขายจะน้อยลงจนอาจจะถึงกับติดลบก็เป็นไปได้  อย่างไรก็ตาม  ห้างคง “ไม่ตายแต่ไม่โต” ธุรกิจทำห้างให้เช่าแบบสรรพสินค้านั้น  บางคนบอกไม่ถูกกระทบเพราะรับค่าเช่าจากคนขายของ  แต่ถ้าคนขายของได้น้อยลง  ค่าเช่าที่จะจ่ายได้ก็ต้องลดลงหรือเพิ่มขึ้นไม่ได้  จริงอยู่ คนไทยนั้นอาจจะยังต้องการเดินห้างอยู่เนื่องจากมันเย็นสบาย  มีแหล่งบันเทิงและทำธุรกรรมต่าง ๆ  เช่น การเงิน  รวมถึงกินอาหารภัตตาคารในห้าง  ส่วนการซื้อสินค้านั้นเขาอาจจะทำน้อยลงเนื่องจากการทำผ่านอินเตอร์เน็ตสะดวกกว่า   มีแบบสินค้าให้เลือกมากกว่าและราคาถูกกว่า  ดังนั้น  ธุรกิจทำห้างให้เช่าจึงอาจจะมีกำไรหรือเติบโตไม่เหมือนเดิม  ราคาหุ้นไม่ควรจะแพงอย่างที่เคยเป็น ร้านขายสินค้าเฉพาะกลุ่มหรือเฉพาะอย่าง  เช่น  สินค้าปรับปรุงและตกแต่งบ้านนั้น  ผมคิดว่าเนื่องจากสินค้ามีความหลากหลายมากทั้งราคา  รูปแบบ  ความถี่ในการใช้  ทำให้ผู้บริโภคต้องการ “ดูของจริง” มากกว่าจะดูจากภาพ  และบ่อยครั้งเป็นการซื้อหลายอย่างพร้อม ๆ  กันและมีมูลค่าค่อนข้างสูง  ดังนั้น  คนซื้อจึงอยากจะไปซื้อที่ร้านมากกว่าสั่งจากอินเตอร์เน็ต  ดังนั้น  ผมคิดว่าคงยังห่างจากการถูก Disrupt พอสมควร  กลุ่มที่สองคือสินค้าอิเล็กโทรนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลาย  นี่คือสินค้าที่อาจจะถูก Disrupt ได้ง่ายเนื่องจากมันเป็นสินค้าที่เป็นมาตรฐานเหมือนกันและมียี่ห้อและรุ่นไม่มากนัก  การเลือกผ่านอินเตอร์เน็ตทำได้ง่าย  อย่างเดียวที่ดูเหมือนว่าหลายคนก็ยังอยากไปซื้อที่ร้านก็เพราะว่ามันเป็นสินค้าที่มีราคาสูง ยอมเสียเวลาไปดูซักหน่อยและได้รับบริการการอธิบายการใช้งานก็อาจจะยังคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม  ความเสี่ยงที่จะถูก Disrupt และอาจจะเกิดขึ้นเร็วนั้นมีพอสมควร  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  คนที่พยายามขายผ่านอินเตอร์เน็ตนั้น  อาจจะรวมไปถึงเจ้าของผลิตภัณฑ์หรือบริษัทขนาดใหญ่ที่สามารถสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพสูงและแข่งขันกับห้างที่มีหน้าร้านได้ ธุรกิจขนาดใหญ่สุดท้ายที่น่าสนใจมากเพราะราคาหุ้นตกลงมาจนน่าจะเป็นวิกฤติแล้วก็คือ ธุรกิจพลังงานโดยเฉพาะถ่านหินและน้ำมันซึ่งพูดกันว่ากำลังถูก Disrupt จากพลังงานสะอาดและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า  ความคิดของผมก็คือ  นี่คือธุรกิจที่ผู้ใช้นั้นเป็นโรงงาน(โรงไฟฟ้า) หรืออุปกรณ์(รถยนต์) ที่มีอายุยืนยาวและมีจำนวนมากมาย  ดังนั้น  การเปลี่ยนหรือทดแทนถ้าจะเกิดขึ้นก็จะเป็นไปอย่างช้า ๆ   เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  เทคโนโลยีใหม่ก็ยังไม่ได้เหนือกว่าเทคโนโลยีเก่าในทุกด้านโดยเฉพาะราคาและความสม่ำเสมอและประสิทธิภาพของการทำงานทำให้การ Disrupt เป็นไปอย่างช้า ๆ  ผมคิดว่าอย่างน้อยคงต้องเป็น 10 ปีขึ้นไปก่อนที่ธุรกิจจะมีปัญหาอย่างจริงจัง  อย่างไรก็ตาม  เนื่องจากการเป็นสินค้าโภคภัณฑ์  นี่ทำให้ราคาของสินค้าโดยเฉพาะที่เป็นต้นน้ำถูกกระทบในด้านลบได้ค่อนข้างแรงเมื่อความต้องการลดลงแม้เพียงเล็กน้อย ยังมีธุรกิจอีกมากที่เราจะต้องวิเคราะห์ผลกระทบของ Disruption ว่าที่จริงในระยะหลัง ๆ  นี้  แทบไม่มีธุรกิจไหนที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่างแท้จริง  ดังนั้น  นักลงทุนจะต้องคิดและคำนึงถึงอยู่เสมอเมื่อจะลงทุนซื้อขายหุ้น

MOST POPULAR