โลกในมุมมองของ Value Investor     11 มกราคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ในช่วงเร็ว ๆ นี้ดูเหมือนว่าดัชนีดาวโจนส์ของตลาดหุ้นนิวยอร์คจะทำสถิติสูงสุดตลอดกาลใหม่ขึ้นเรื่อย ๆ  จนล่าสุดคือเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2563 ดัชนีปิดที่ประมาณ 28,824 จุด ทั้ง ๆ ที่อเมริกากำลังมีปัญหาสงครามการค้ากับจีนรวมถึงการพิพาททางทหารครั้งรุนแรงกับอิหร่าน  ซึ่งนักวิเคราะห์หลายคนอ้างว่าทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยถดถอยลง  ดัชนีปีที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นไปแค่ 1% และน่าจะย่ำแย่ต่อไปในปีนี้  อย่างไรก็ตาม  ดัชนีตลาดหุ้นของโลกโดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลายต่างก็ปรับตัวขึ้นดีมากในช่วงหนึ่งปีที่ผ่าน  ว่าที่จริงปีที่แล้วนั้นดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นดีที่สุดปีหนึ่ง  ดัชนีดาวโจนส์เองก็ปรับตัวขึ้นไปในระดับ 20%  นี่ทำให้นักลงทุนส่วนบุคคลจำนวนมากในตลาดหุ้นไทยรู้สึกท้อแท้ผิดหวังกับการลงทุน  หลายคนถอนตัวออกจากตลาด  ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันลดลงเรื่อย ๆ  โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย  ว่าที่จริงความท้อแท้หมดหวังนั้นเริ่มก่อตัวมานานพอสมควรแล้วอย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี 2561 ที่ดัชนีตลาดหุ้นก็ตกลงไปประมาณ 11% โดยที่  “หุ้นยอดนิยม” ที่เป็นหุ้นที่นักลงทุนส่วนบุคคลชอบเล่นกันมากนั้น  บางตัวตกลงไปเกินครึ่ง  อนาคตของตลาดหุ้นไทยสำหรับนักลงทุนหลายคนดู  “มืดมน” ตลาดหุ้นอเมริกาดู “สดใส” ว่าที่จริงตลาดหุ้นอเมริกาตั้งแต่ปี 2009 หลังจากวิกฤติซับไพร์มในปี 2008 นั้น  ปรับตัวดีขึ้นมาตลอดแทบทุกปีเป็นเวลา11 ปีแล้ว  สิ้นปี 2008 ดัชนีดาวโจนส์อยู่ที่ประมาณ 8,000 จุดเศษ ๆ  ถึงปัจจุบันดัชนีเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3.6 เท่า  คิดแล้วเท่ากับผลตอบแทนที่ปีละ 12.3% แบบทบต้นไม่รวมปันผล  นี่เป็นผลตอบแทนที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นอเมริกา  คือเป็นตลาดกระทิงที่ยาวมากเกิน 10 ปีและให้ผลตอบแทนที่สูงมากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน  เพราะในอดีตนั้นตลาดกระทิงมักจะกินเวลาโดยเฉลี่ยแค่ 5-6 ปี  ที่สูงเป็น 10 ปีนั้นมีน้อยมาก  นี่เป็นยุคทองของตลาดหุ้นอเมริกาอย่างแท้จริง  และเมื่อคำนึงถึงเศรษฐกิจและบริษัทจดทะเบียนของอเมริกาที่ดูเหมือนว่าจะยังดีมากเพราะเป็นเศรษฐกิจที่มีพลวัตรเป็นเศรษฐกิจดิจิตอลที่ก้าวหน้าและยังมีประชากรที่เพิ่มขึ้นและ  “ไม่แก่”  เมื่อเทียบกับประเทศที่ก้าวหน้าอื่น ๆ ในโลก คนอาจจะคิดว่าตลาดหุ้นไทย “แย่มาก”  อนาคตไม่รู้อยู่ที่ไหน?  แต่ถ้ามองย้อนหลังไป  11 ปีหลังวิกฤติซับไพร์มเหมือนกันก็จะพบว่าตลาดหุ้นไทยเองนั้นก็ปรับตัวดีขึ้นมากเหมือนกัน  ว่าที่จริงไม่แพ้ตลาดหุ้นอเมริกาหรือดัชนีดาวโจนส์เลย สิ้นปี 2008 ดัชนีตลาดอยู่ที่ประมาณ 450 จุด  ถึงวันที่ 10 มกราคม 2563 ดัชนีอยู่ที่ 1,581 จุด หรือเพิ่มขึ้นเป็น 3.5 เท่าเกือบเท่ากับการเติบโตของดัชนีดาวโจนส์ในเวลาเดียวกัน  ถ้าคิดรวมปันผลแล้ว  ผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยดีกว่าตลาดนิวยอร์กด้วยซ้ำ แต่ความแตกต่างของการเติบโตหรือผลตอบแทนจากตลาดทั้งสองในเวลา 11 ปีหลังวิกฤติก็คือ  ดัชนีดาวโจนส์นั้นมีการเติบโตค่อนข้างสม่ำเสมอกว่าตลาดหุ้นไทยมาก   ดัชนีตลาดหุ้นไทยเติบโตขึ้นแรงมากในช่วง 4 ปีหลังวิกฤติ โดยที่ปี 2552 ดัชนีเพิ่มขึ้นถึง 63% ปี 53 ขึ้นไปอีก 41% ปี 54 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยที่ -0.7% พอถึงปี 2555 ดัชนีขึ้นไปอีก 36% รวมแล้วในเวลา 4 ปี ดัชนีปรับตัวขึ้นไป 942 จุดหรือเพิ่มขึ้นกว่า 200% คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นปีละ 33%  และนี่คือ “ยุคทอง” ของนักลงทุนส่วนบุคคลโดยเฉพาะที่เป็น VI และนักเก็งกำไรที่มัก “ทุ่มสุดตัว” และทำให้เกิด “เศรษฐี”  จากหุ้น  และ  “เซียนหุ้น” จำนวนมาก  พวกเขามักจะ “ลงทุนในหุ้น 100%”  หลายคนเกินร้อยโดยการใช้มาร์จินซื้อขายหุ้น   นั่นน่าจะก่อให้เกิด “วัฒนธรรมการลงทุนในหุ้น” สำหรับคนไทยจำนวนมากโดยเฉพาะที่ยังเป็นหนุ่มสาว  หุ้นไม่ใช่การเก็งกำไรหรือการพนันอีกต่อไป  แต่หุ้นคือ ‘‘ชีวิต”  แม้แต่นักธุรกิจหรือผู้ประกอบการก็ยังเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น  บ่อยครั้งก็ผ่านลูกหลานที่ได้สร้างผลตอบแทนเป็นที่ประจักษ์ว่า  ลงทุนในหุ้นดีกว่าการทำธุรกิจของตนเอง หลังจาก “สี่ปีทอง” ของตลาดหุ้นจบลงที่ดัชนีประมาณ 1,400 จุดในปี 2555 แล้ว  ดัชนีก็แกว่งตัวเป็น Sideway มาตลอดจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 7 ปี ที่ดัชนีปรับตัวขึ้นมาไม่ถึง 200 จุดคิดเป็นผลตอบแทนแบบทบต้นเพียง 2.8% ต่อปี ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ในเวลาเดียวกันนั้นยังคงเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ยแบบทบต้นถึงปีละ 10% โดยที่ 4 ปีหลังนี้ในสมัยประธานาธิบดีทรั้มป์ดัชนีดาวโจนส์เติบโตขึ้นถึงปีละ12.8% โดยที่หุ้นที่นำให้ดัชนีเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นมาจากหุ้นดิจิตอลยุคใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและประกอบกับการลดภาษีนิติบุคคลที่ทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ค่า PE ของหุ้นไม่ได้สูงเกินไปจนทำให้ราคาหุ้นเป็น  “ฟองสบู่” และนี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้ดัชนีดาวโจนส์และดัชนีอื่น ๆ  ในประเทศสหรัฐไม่ประสบกับปัญหา “วิกฤติตลาดหุ้น” อย่างที่นักวิเคราะห์หลายคนเกรงกลัวกัน มองในฐานะของนักลงทุนระยะยาวที่ลงทุนกันเป็นสิบ ๆ ปีหรือตลอดชีวิต  เราคงบอกไม่ได้ว่าตลาดไหนดีกว่าชัดเจนระหว่างตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นสหรัฐ  เพราะตัวเลขผลตอบแทนโดยเฉลี่ยระยะยาวของทั้งสองตลาดนั้นใกล้เคียงกันมาก  ไม่ใช่แค่ 11 ปีที่ผ่านมาแต่ย้อนหลังไปถึงช่วงเวลาเปิดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อ 45 ปีที่ผ่านมาที่ตลาดหลักทรัพย์สร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนประมาณเกือบ 10% ต่อปีแบบทบต้นซึ่งก็ใกล้เคียงกับตลาดหุ้นสหรัฐ  ประเด็นที่ว่าบางช่วงบางตอนตลาดหุ้นหนึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าอีกตลาดหนึ่งนั้น  จริง ๆ  แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร  ในขณะนี้ตลาดหุ้นไทยอาจจะเป็นช่วงเวลาที่ “เลวร้าย” ตลาดอาจจะไม่ไปไหนเป็นทศวรรษ  แต่ในตลาดหุ้นอเมริกาเองก็เคยมีช่วงเวลาแบบนี้เช่นเดียวกัน  ดังนั้น  ผมอยากสรุปว่านับจากวันเปิดตลาดหุ้นหรือนับจากช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติซับไพร์มซึ่งเป็นปัญหาระดับโลก  ตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นสหรัฐนั้น  “ดีเสมอกัน”   คำถามที่สำคัญก็คือ  เวลาต่อจากนี้ล่ะ  ตลาดหุ้นไทยหรือตลาดนิวยอร์กหรือตลาดหุ้นอเมริกาจะดีกว่าในระยะยาว  ซึ่งนี่ก็จะเป็นคำถามสำคัญโดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่หรือนักลงทุนคนหนุ่มสาวที่จะต้องตัดสินใจลงทุนเพื่อชีวิตอีกหลายสิบปีข้างหน้า  เพราะการตัดสินใจผิดก็จะทำให้ชีวิตทางการเงินแตกต่างไปมาก  สำหรับผมเองนั้น  ผมคิดว่าในระยะยาวแล้ว  ดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมก็จะสะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ  และเศรษฐกิจของประเทศเองนั้นก็มักจะถูกกำหนดโดยปัจจัยสำคัญ 3 ประการนั่นก็คือ  1) ระบบการปกครองและการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ  2) กำลังแรงงานของประเทศว่ามีมากขึ้นหรือน้อยลง  และ 3) ก็คือ คุณภาพของคนหรือแรงงานว่ามีความสามารถหรือประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน  ซึ่งถ้ามองว่าคนไทยกำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและในไม่ช้ากำลังแรงงานก็จะน้อยลงเมื่อเทียบกับอเมริการวมถึงประเด็นอื่น ๆ  ที่กล่าวถึงแล้ว  ผมก็คิดว่าภาพรวมของเศรษฐกิจอเมริกาก็น่าจะดีกว่าไทยในอนาคต  และนี่น่าจะเป็นเหตุผลว่าตลาดหุ้นในอนาคตของอเมริกาน่าจะดีกว่าตลาดหุ้นไทยในระยะยาวนับจากวันนี้ อย่างไรก็ตาม  ในฐานะที่เป็นคนไทยและอาศัยอยู่ในประเทศไทย  การลงทุนในประเทศไทยก็น่าจะมีความได้เปรียบอยู่พอสมควรในการที่จะรู้จักบริษัทหรือหุ้นรายตัวเป็นอย่างดี  ดังนั้น  คนที่เป็นนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI ก็น่าจะสามารถเลือกหุ้นรายตัวได้ดีรวมถึงอาจจะเห็นโอกาสหรือจังหวะในการลงทุนในหุ้นรายตัวที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ถ้าเราลงทุนแบบ Focus หรือลงทุนที่เน้นการถือหุ้นไม่กี่ตัว  โอกาสที่เราจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าปกติหรือดีกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดก็มีความเป็นไปได้  ดังนั้น  กล่าวโดยสรุปก็คือ  ถ้าจะลงทุนแบบอิงดัชนีในกองทุนรวมของประเทศ  ผมคิดว่าลงทุนในอเมริกาน่าจะดีกว่า  แต่ถ้าจะลงทุนแบบเลือกหุ้นเอง การลงทุนในประเทศไทยก็ยังมีโอกาสที่จะเอาชนะการลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาได้ทั้ง ๆ ที่ภาพรวมโดยเฉลี่ยในระยะยาวตลาดหุ้นไทยอาจจะไม่ดีเท่า  โดยที่เหตุผลก็คือ  เรารู้จักหุ้นในตลาดไทยดีกว่าโดยเฉพาะในหุ้นตัวเล็กลงมาที่บางตัวสามารถโตได้เร็วมากเทียบกับหุ้นตัวใหญ่ทั้งในตลาดหุ้นไทยและอเมริกา
ในช่วงปีที่ผ่านมา ภาคการธนาคารของเวียดนามได้รับการพูดถึงและถูกคาดการณ์ถึงศักยภาพในการเติบโตที่ดีเยี่ยม ในบทความนี้จึงจะมา แนะนำหุ้น bluechip ในดัชนีVN30 หุ้นในกลุ่มธนาคาร ที่ทำกำไรมากที่สุดของตลาดหุ้นเวียดนามในปี 2019 ค่ะ Joint Stock Commercial Bank for foreign Trade of Vietnam (VCB : HOSE) หรือ Vietcombank ธนาคารพาณิชย์ของรัฐ จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ภาคเศรษฐกิจ ในการให้สินเชื่อเพื่อการนำเข้าและส่งออก ดำเนินธุรกิจทั่วไปของธนาคาร พาณิชย์ของรัฐ และอยู่ในกลุ่มที่มีส่วนครองตลาดมากที่สุดในระบบธนาคารของเวียดนาม เป็นธนาคารที่มีสินทรัพย์มูลค่า 50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯและมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงสุดในตลาดหลักทรัพย์ ในเดือนพฤศจิกายนปี 2019 Vietcombank ได้ลงนามในข้อตกลงการประกันผ่านธนาคารระยะเวลา 15 ปีกับบริษัทประกันภัย FWD Group Ltd. ของฮ่องกง ซึ่ง Bloomberg คาดว่ามีมูลค่าประมาณ หนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่แข็งแกร่งในช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยภายในสิ้นปี 2019 Vietcombank มีกำไรก่อนหักภาษี 22,717 พันล้านVNDเพิ่มขึ้น 26% และเพิ่มขึ้น 114%...
โลกในมุมมองของ Value Investor      4 มกราคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​Ray Dalio เป็นผู้ก่อตั้งและบริหารกองทุน Bridgewater Associates ซึ่งเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกกองทุนหนึ่งตั้งแต่ปี 1975 หรือประมาณ 45 ปีมาแล้ว  เวลานี้เขาอายุประมาณ 70 ปีและน่าจะเริ่มเกษียณจากงานหลักแต่ก็ยัง Active หรือยังทำงานคึกคักและเป็นที่ปรึกษาและให้ความเห็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจและความเป็นไปของโลกรวมถึงการเขียนหนังสือให้ความรู้จากประสบการณ์ในชีวิตของตนเองในฐานะของนักลงทุนและผู้บริหารกองทุนที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา  ว่าที่จริงตอนนี้เขาดังกว่าตอนเป็นผู้บริหารมาก  ส่วนหนึ่งจากการที่เริ่มเขียนหนังสือที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลกโดยเฉพาะหนังสือที่ชื่อว่า “Principles: Life and Work”  ที่บอกเล่าเรื่องราวของชีวิตและการทำงานของตนเองที่ประสบความสำเร็จว่ามาจากการใช้หลักการต่าง ๆ  ที่เขาพัฒนาขึ้นมาตลอดชีวิต  อย่างไรก็ตาม  เขาไม่ได้พูดถึงหลักการการลงทุนซักเท่าไร  ซึ่งทำให้นักลงทุนแบบ VI รวมถึงผมก็ยังไม่รู้ว่าเคล็ดหรือหลักการลงทุนของเขาเป็นอย่างไร แน่นอนว่าเขาไม่ใช่นักลงทุนแนว “VI พันธุ์แท้” แบบบัฟเฟตต์หรืออีกหลายคนที่เป็นไอดอลของสาวก VI ทั่วโลก  อย่างไรก็ตาม  ผมเชื่อว่าหนังสือ  “หลักการการลงทุนของ Dalio” คงจะออกมาในไม่ช้า ​Dalio เป็นคนที่เชื่อว่า Principles หรือหลักการนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะนำเราสู่ความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน  เราต้องการสิ่งใดก็จะสามารถได้ดังหวังด้วยหลักและวิธีการต่าง ๆ  ที่เราจะกำหนดหรือสร้างขึ้นมาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดไปเรื่อย ๆ  มันเป็น “กระบวนการ”  ที่เขาเรียนรู้จากชีวิตการทำงานและกลายเป็น “สูตรสำเร็จ”  และเขาเชื่อว่าคนที่ประสบความสำเร็จทุกคนมีหลักการที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ  เขาเองบอกว่าความสำเร็จของเขานั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากตนเอง  แต่มาจาก “หลักการ” ที่เขาใช้ซึ่งเขาเปิดเผยหรือบอกเล่าในหนังสือที่เขาเขียน ​ข้อแรก  คือ ต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะทำอะไร  และสอง  ต้องกล้าที่จะทำมัน   ในการนี้คุณจะต้องคิดด้วยตนเองในขณะที่มีใจเปิดกว้างที่สุดที่จะรับความคิดเห็นจากคนอื่น  เราจะต้องมองว่าเวลานั้นเหมือนกับสายน้ำในแม่น้ำที่พาเราไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง  ไปประสบกับความเป็นจริงที่ทำให้เราต้องตัดสินใจ  เราหยุดมันไม่ได้และเราก็หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะเข้ามาไม่ได้  ที่จะทำได้ก็คือการที่เราจะต้องเผชิญกับมันอย่างดีที่สุด  ในชีวิตของเรา  เราต้องเผชิญสิ่งต่าง ๆ  เป็นล้าน ๆ  และต้องตัดสินใจในจำนวนที่เท่ากัน  คุณภาพของการตัดสินใจจะเป็นตัวที่กำหนดคุณภาพชีวิตของเรา  ถ้าเราตัดสินใจถูกเราก็ได้รับผลตอบแทน  ตัดสินใจผิด  เราก็เจ็บ   ​การตัดสินใจแต่ละครั้งนั้นจะช่วยสอนให้เราเรียนรู้ว่าคราวต่อไปเราจะต้องทำอย่างไร  ครั้งแรก ๆ  เราก็มักจะพลาด...
เริ่มทศวรรษใหม่ด้วยหุ้นรายตัวในดัชนีVN30 หุ้น VI ที่เป็นที่สนใจและน่าจะเป็นที่รู้จักของคนไทยในระดับหนึ่งแล้วนะคะ นั่นคือ Vietnam Dairy Products JSC (VNM) หรือ Vinamilk ค่ะ VNM เป็นกลุ่มบริษัทที่มี Market cap ขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นเวียดนาม ที่ดำเนินธุรกิจมาหลายสิบปี โดยมีธุรกิจหลักเกี่ยวกับการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม อาทิเช่น นมสด โยเกิร์ต นมเปรี้ยว ชีส ไอศกรีม นมผงสำหรับแม่และเด็ก ผ่านแบรนด์ Vinamilk, Dielac, Ridielac และ V-Freshทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจเกี่ยวกับอาหารเพื่อสุขภาพและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ รวมถึงบริการด้านบรรจุภัณฑ์และโลจิสติกส์ด้วย โดย VNM มีบริษัทสาขาอย่าง -Thong Nhat Thanh Hoa Dairy Cow Co.,Ltd -Driftwood Dairy Holding Corporation -AngKor Dairy Products Co.,Ltd -Vinamilk Europe Sp.Z O.O -Vietnam...
พรุ่งนี้ปีใหม่! 2020 แล้ว เรามาสรุป 10 เหตุการณ์สำคัญในตลาดหุ้นเวียดนามปีนี้ จากชมรมนักข่าวหลักทรัพย์เวียดนามกันดีกว่าค่ะ กฎหมายใหม่ได้รับการอนุมัติ 26 พ.ย. 2019 รัฐบาลได้อนุมัติกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักทรัพย์ ที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2021 โดยกฎหมายฉบับใหม่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงคุณภาพของ บริษัทในตลาดหุ้นและปกป้องนักลงทุนมากขึ้น รวมทั้งปูทางไปสู่การจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์เวียดนามและศูนย์รับฝากหลักทรัพย์และการชำระหนี้ของเวียดนามซึ่งรัฐถือหุ้นในสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 50 ของทุน หรือหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดยกเครื่องแผนตลาดหุ้น 28 ก.พ. 2019 คำสั่ง 242 เรื่องการปรับโครงสร้างภาคหลักทรัพย์และการประกันภัยจนถึงปี 2025 รัฐบาลต้องการให้มูลค่าของตลาดหุ้นต่อ GDP พุ่งสูงถึง 100% ในปี 2020 และ 120% ในปี 2025 ในขณะเดียวกันมูลค่าของตลาดตราสารหนี้คาดว่าจะถึง 47% ของ GDP ทั้งหมดในปี 2020 และ ร้อยละ 55 ในปี 2025  ตลาดตราสารหนี้เฟื่องฟู ปี 2019 ตลาดตราสารหนี้ของบริษัท มีมูลค่ารวม 237 ล้านล้าน VND ...
ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์สัมภาษณ์ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์กับนักลงทุนจึงขอแชร์ ผมยังเชื่ออยู่เสมอว่าการลงทุนสามารถสร้างโอกาสในการเปลี่ยนแปลงชีวิตจากยาจกให้กลายเป็นเศรษฐี แต่นักลงทุนต้องศึกษาและเรียนรู้ว่าเศรษฐกิจเติบโตอย่างไร เมื่อคุณเข้าใจคุณก็จะไม่ทำแบบเดียวกับที่ผมทำเมื่อยี่สิบปีที่แล้วแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ จริงอยู่ที่หลักการในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จยังเป็นแบบเดิม แต่กาละและเทศะไม่เหมือนเดิมแล้ว ยี่สิบปีก่อนเมืองไทยเติบโตเร็ว แต่ในยุคนี้ชัดเจนว่าเมืองไทยในอีก 20 ปีข้างหน้าจะเติบโตช้าลง เพราะปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือคนแก่ตัวลง ซึ่งเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ตรงนี้ได้ เพราะการไปบอกให้ใครต่อใครมีลูกกันเยอะๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย และคนรุ่นใหม่ก็มีค่านิยมว่าเขาไม่ต้องการมีลูกเยอะ หรือบางคู่แต่งงานกันโดยไม่คิดจะมีลูกเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น เราจึงต้องเปลี่ยนไปลงทุนในสถานที่ที่มีการเติบโตเร็ว เช่น ประเทศที่มีเด็กเกิดใหม่เยอะ หรือประเทศที่ประชากรมีศักยภาพสูง ซึ่งประเทศเหล่านี้จะเติบโตต่อไปได้เรื่อยๆ ถามว่าตอนนี้ผมเลือกไปลงทุนที่ไหน─ถ้าผมหนุ่มกว่านี้สักหน่อยผมคงไปมากกว่านี้ อย่างเช่นตลาดอเมริกาก็น่าสนใจมาก เพราะเป็นที่รวมกันของบริษัทยักษ์ใหญ่และบริษัทที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่ในอนาคตจะต้องเติบโตต่อไป และนับวันโลกจะยิ่งต้องการผลิตภัณฑ์จากบริษัทเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่เนื่องจากว่าตอนนี้เราอายุมากขึ้น ศึกษาน้อยลง จึงเลือกเฉพาะประเทศที่ค่อนข้างมั่นใจว่าเศรษฐกิจของเขาจะต้องเติบโตต่อไปได้อีกไกลอย่างเวียดนาม คนเวียดนามได้รับการพิสูจน์มาตลอดเวลาว่ามีความสามารถและไอคิวสูง ถึงแม้จะเป็นประเทศที่ยังไม่รวย ไม่เจริญ แต่คุณภาพของคนสูงมาก เมื่อทดสอบในระดับนานาชาติจะพบว่าเขาเก่งเป็นอันดับต้นๆ ดังนั้น เขาจึงมีความสามารถในการทำงานที่ทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตมากขึ้นไปอีก และนอกจากความโดดเด่นเชิงคุณภาพแล้ว เวียดนามยังเป็นประเทศที่มีคนหนุ่มสาวเยอะ ย่อมเท่ากับว่ามีแรงงานที่คุณภาพดีในจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีอีกปัจจัยที่สำคัญคือการมีระบบเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโต ในอดีต เวียดนามมีเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ซึ่งปิดกั้นโอกาสของคน ทำให้คนเก่งๆ ไม่มีงานทำ แต่ปัจจุบัน เวียดนามเปิดกว้างมากขึ้นเพื่อที่จะปรับตัวให้เข้ากับระบบเศรษฐกิจเสรีของโลก ดังนั้น ผู้คนก็เข้าไปลงทุนและทำกำไรกันมากมาย และผมก็คิดว่าเวียดนามจะเติบโตต่อไปได้อีกไม่ต่ำกว่า 20 ปี เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นประเทศของเขาตอนนี้คล้ายกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศไทยเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน อ่านบทความเต็มคลิกhttps://adaybulletin.com/talk-conversation-niwes-hemvachiravarakorn/45133
ขอขอบพระคุณ อ.ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากรพี่เอก ธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ (ผู้จัดการทั่วไป ธนาคารกรุงเทพ สาขาประเทศเวียดนาม)คุณโกสินทร์ เจือศิริภักดี SVP - Cross Border Trading Department at CGS CIMB Securities)พี่ณัฐ ณัฐกิติ์ สุนทรบุระพี่บอล ภาคย์ภูมิ ศิริหงษ์ทองพิธีกร: คุณจิตติมา ทวาเรสพิธีกรรับเชิญภาคภาษาอังกฤษ คุณวรพจน์ จัน ยั่งยืน และคุณชนะกานต์ เหล่าธรรมานนท์Mr.Bill Stoops, Chief Investment Officer (CIO) Dragon Capital Ms. Hien Tran Thi Khanh (Deputy Director - Research -...
บทความนี้จะมาพูดถึงหุ้นรายตัวในดัชนี VN30 ซึ่งมีบริษัทไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นแบรนด์ชั้นนำของเวียดนามในวงการของเครื่องดื่มเบียร์ค่ะ Sabeco ( Saigon Beer Alcohol Beverage Crop) หรือ SAB เป็นกลุ่มบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มและอาหารสำเร็จรูป ค้าขาย เบียร์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไวน์และเครื่องดื่มชูกำลัง ค้าขายวัตถุดิบ เครื่องประกอบ ส่วนประกอบ เครื่องปรุงรส และส่วนสำคัญสำหรับการผลิตเบียร์ ไวน์ และเครื่องดื่มชูกำลัง รวมถึงซื้อขายและให้คำปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ Sabeco นับว่าเป็นผู้ผลิตเบียร์ที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับต้นๆในเวียดนาม จัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ และ เป็นแบรนด์ชั้นนำที่ได้รับการยอมรับให้เป็นแบรนด์ระดับชาติ มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือ Vietnam Beverage บริษัทสาขาของ Thaibev (53.58%) ทำให้ Saigon มีชื่อเป็นสปอนเซอร์บนเสื้อของทีมฟุตบอล Leicester City ที่แข่งขันในระดับพรีเมียร์ลีก และตามรายงานล่าสุด Thaibev ปฏิเสธข่าวที่ว่าจะขายหุ้นของธุรกิจในเวียดนาม เพราะยังเชื่อมั่นในธุรกิจในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ยังคง เป็นหนึ่งในตลาดหลัก และเป็นสิ่งสำคัญในการที่จะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มในระดับภูมิภาค เวียดนามนับว่าเป็นประเทศที่มีการบริโภคเบียร์เป็นอันดับต้นๆของภูมิภาคเอเชีย เวียดนามจึงกลายเป็นตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และใหญ่เป็นอันดับสามของเอเชียรองจากญี่ปุ่นและจีน ทำให้ SAB มีรายงานรายรับ 90ล้านVND(3.87ล้านดอลลาร์) ต่อวัน ในเดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน...
โลกในมุมมองของ Value Investor     21 ธันวาคม 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร             ผมเพิ่งตระหนักว่าตนเองได้เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียตนามประมาณ 4-5 ปีแล้วด้วยเม็ดเงินกว่า 10% ของพอร์ตทั้งหมด  ในตอนนั้นวัตถุประสงค์ที่สำคัญก็คือการ Diversify หรือกระจายความเสี่ยงของพอร์ตที่เป็นหุ้นที่อยู่ในตลาดหุ้นไทยทั้งหมด  ผมคิดว่าการลงทุนในประเทศเดียวนั้นมีความเสี่ยงกว่าการลงทุนในหลายประเทศและหลายตลาด  และตลาดหุ้นที่ผมเลือกที่จะไปก็คือเวียตนาม  เหตุผลก็คือ  ประเทศเวียตนามกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงของการเติบโตสูงอานิสงค์จากการเปลี่ยนและเปิดประเทศจากสังคมนิยมเป็นทุนนิยม  เป็นประเทศที่มีประชากรวัยหนุ่มสาวเยอะมาก  คนทั้งประเทศมีกว่า 90 ล้านคน  ค่าแรงของประเทศต่ำกว่าไทยครึ่งหนึ่งและเป็นประชากรที่มีการศึกษาดีขยันขันแข็ง  ผลการทดสอบ PISA Test ของนักเรียนได้คะแนนสูงเท่า ๆ  กับคนในประเทศพัฒนาแล้ว  เวียตนามกำลังกลายเป็นศูนย์กลางของการส่งออกอีกแห่งหนึ่งของโลก  ปริมาณการส่งออกคิดเป็นกว่า 100% ของ GDP ของประเทศ  การเติบโตของ GDP เองนั้นสูงถึง 6-7% ต่อปีติดต่อกันมาหลายปีและล่าสุดกลายเป็นประเทศที่มีการเติบโตสูงที่สุดในอาเซียน             ผมตื่นเต้นและมั่นใจว่าเวียตนามกำลังจะเป็น  “The Next Thailand And Beyond” คือจะเติบโตเร็วมากเหมือนไทยในสมัยก่อนและอาจจะแซงไทยในอนาคตเนื่องจากมีประชากรมากกว่ามาก  การเติบโตของเวียตนามจะยั่งยืนเพราะเป็นการเติบโตจากการลงทุนที่กำลังเพิ่มขึ้นมหาศาลจากเกาหลี ญี่ปุ่น  ไต้หวัน ซึ่งกำลังย้ายฐานจากไทยและจีนที่มีค่าแรงสูงกว่ามาก  และสิ่งที่ทำให้ผมต้องการเข้าไปลงทุนทันทีก็คือการที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นเวียตนามเพิ่งจะผ่านพ้น  “วิกฤติ” ค่าเงินและฟองสบู่อสังหาที่เป็นผลจากการเติบโตเร็วเกินไปซึ่งทำให้มีการลดค่าเงินน่าจะไม่ต่ำกว่า 30%  นอกจากนั้น  อัตราเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินด่องกับเงินดอลลาร์ก็เริ่ม Stable หรือมั่นคงขึ้นอย่างมากมาหลายปีแล้ว   ในตอนนั้นผมคิดว่าผมกำลังเจอกับตลาดหุ้น “ในฝัน” ที่ดัชนีตลาดตกจาก 1,000 จุด เหลือเพียง 500-600 จุดหลังจากผ่านไป 7 ปี เพราะวิกฤตเศรษฐกิจ  และทุกสิ่งทุกอย่างกำลังฟื้นตัว  นี่คือสถานการณ์แบบเดียวกับตลาดหุ้นไทยในช่วงหลังวิกฤติปี 2540 ที่ผมเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเต็มตัว  ผมคิดว่าผมกำลังมีโอกาสทองอีกครั้งหนึ่งในตลาดหุ้นเวียตนาม             ในตอนนั้นผมไม่รู้จักบริษัท  ผมรู้แต่ว่าประเทศกำลังเติบโตเร็วและยั่งยืนซึ่งในที่สุดตลาดหุ้นก็จะโตตาม—เหมือนเมืองไทยในสมัยกว่า 20 ปีก่อน  แต่ตลาดหุ้นเวียตนามยังใหม่มาก  เพิ่งเปิดมาสิบกว่าปี  ยังไม่มีกองทุนอิงดัชนีที่เราจะลงทุนได้สะดวก ...
ผ่านไปแล้วกับวันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 62 ขอขอบคุณ อ.ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากรพี่เอก ธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ (ผู้จัดการทั่วไป ธนาคารกรุงเทพ สาขาประเทศเวียดนาม)คุณโกสินทร์ เจือศิริภักดี SVP - Cross Border Trading Department at CGS CIMB Securities)พี่ณัฐ ณัฐกิติ์ สุนทรบุระพี่บอล ภาคย์ภูมิ ศิริหงษ์ทองพิธีกร: คุณจิตติมา ทวาเรสพิธีกรรับเชิญภาคภาษาอังกฤษ คุณวรพจน์ จัน ยั่งยืน และคุณชนะกานต์ เหล่าธรรมานนท์ Special thanks Mr.Bill Stoops, Chief Investment Officer (CIO) Dragon Capital Ms. Hien Tran Thi Khanh (Deputy Director - Research - VN Direct) สุดท้ายขอบคุณผู้ร่วมสัมมนาทุกท่านที่ทำให้งานสัมมนาวันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 62 ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ผ่านไปได้ด้วยดี หวังว่าทุกท่านจะสามารถนำความรู้จากสัมมนาประยุกต์ใช้กับการลงทุนหุ้นเวียดนามให้สำเร็จได้ไม่มากก็น้อยนะคะ แล้วพบกันใหม่ในวันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 63 ค่ะ...

MOST POPULAR