ชาวจีนชอบอสังหาเวียดนาม ด้วยเหตุผลที่ "ผิด"
กำลังมองหาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยที่ร้อนแรงที่สุดในเอเชียอยู่ใช่ไหม? "ไปโฮจิมินห์ซิตี้"
แอดเพิ่งกลับมาจากสัมมนากองทุน Dragon Capital ที่โฮจิมินห์ซิตี้ประเทศเวียดนามได้ 2 วัน ตอนนั้นมีประเด็นหนึ่งที่ได้คุยกับนักลงทุนชาวฮ่องกงและเพื่อนชาวเวียดนาม พวกเราพยายามถกกันว่าทำไมคนจีนไม่ชอบหุ้น แต่ลงทุนในอสังหาทั้งๆ ที่เรามองว่าหุ้นเวียดนามมี Upside มากกว่าอสังหาเยอะ?
เพื่อนชาวฮ่องกงบอกว่า
"ตอนนี้ Mainland Chinese รวยและโตเร็วมาก (รวยกว่าชาวฮ่องกงอย่างเราอีก)) พอไม่รู้จะเอาเงินไปไหน ก็ลงอสังหาฯ แต่ก่อนอสังหาฯ ออสเตรเลียราคาพรุ่งพรวดก็เพราะชาวจีน ตอนนี้คงมองเวียดนามเป็นโอกาสเพราะอสังหาที่จีนแพงสุดๆ"
"ชาวจีนไม่ชอบหุ้นเพราะจับต้องไม่ได้ ลงทุนในอสังหาฯ ดีต่อใจกว่า"
---
พอดีเพิ่งอ่านข่าวหนึ่งจาก Bloomberg เลยอยากแชร์ให้ฟังดังนี้ค่ะ
นับตั้งแต่เวียดนามอนุญาตให้ชาวต่างชาติเป็นเจ้าของอพาร์ทเมนท์ในเดือนกรกฎาคม 2558
- เมื่อสามปีที่แล้ว Dai Quang Minh เปิดตัวอาคารพักอาศัยแห่งแรกในพื้นที่ Thu Thiem ราคาขึ้นไปถึง 64,000 ถึง 90,000 บาทต่อตารางเมตร
- The Metropole โครงการใกล้เคียงมีแนวโน้มที่จะมีอยู่ที่ 143,000 ถึง 207,000 บาทต่อตารางเมตร
- ปีที่แล้วราคาบ้านหรูพุ่งสูงขึ้น 17% ในขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ยังคงทรงตัว
CBRE Group Inc. กล่าวว่า คนเวียดนามส่วนใหญ่มองว่าอสังหาฯ แพงมากแล้วตั้งแต่ปีพ. ศ. 2561
ปีที่แล้วชาวจีนเป็นผู้ซื้อรายใหญ่สุดในตลาดคอนโดหรูที่โฮจิมินห์ซิตี้ ข้อมูลปีที่แล้ว
30%...
ธสน.ปล่อยกู้ 'เสริมสร้าง' ลุยโรงไฟฟ้าเวียดนาม
EXIM BANK บุกเบิกร่วมกับภาคเอกชนในการขยายฐานการลงทุนของไทยในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในเวียดนาม ด้วยความเล็งเห็นถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของเวียดนามที่โตอย่างก้าวกระโดด และการขยายตัวอย่างรวดเร็วของภาคอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าในประเทศเพิ่มสูงขึ้นมาก และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 10% ต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้า พลังงานหมุนเวียนโดยเฉพาะพลังงานจากแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวลจึงถูกหยิบยกขึ้นเป็นทางเลือกสำคัญในการแก้ปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้า และเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับเวียดนาม โดยรัฐบาลเวียดนามมีนโยบายเปิดเสรีด้านพลังงานทดแทน พร้อมผ่อนคลายกฎระเบียบและเสนอสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนเพื่อดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนมากขึ้น ทำให้เวียดนามเป็นตลาดที่มีศักยภาพและเต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงนักลงทุนไทย
Credit:
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/831662
ช่วงนี้แอดไม่ค่อยได้อัพเดทเรื่องหุ้นรายตัวเวียดนามเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ ยังจำชื่อหุ้นดังๆ ในเวียดนามได้หรือไม่? ลองมาทดสอบกันเลยดีกว่าค่ะ
1.HAX : ทำอะไร?
2.ACV : ทำอะไร?
3.VJC : ทำอะไร?
4.MBB : ทำอะไร?
5.VCB : ทำอะไร?
6.QNS : ทำอะไร?
7.VNM : ทำอะไร?
8.MSN : ทำอะไร?
9.SAB : ทำอะไร?
10.MWG : ทำอะไร?
11.DWG : ทำอะไร?
12.AST : ทำอะไร?
13.ETF เวียดนามมี Ticker ว่าอะไร?
14.GAS : ทำอะไร?
15.KBC : ทำอะไร?
16.HT1 : ทำอะไร?
17.VTP : ทำอะไร?
18.DHG : ทำอะไร?
19.VIC : ทำอะไร?
20.VHM : ทำอะไร?
21.STK : ทำอะไร?
22.POW : ทำอะไร?
เป็นไงบ้างคะ หุ้นเวียดนาม 22 ตัว เพื่อนๆ รู้จักกี่ตัวคะ?
---
สำหรับเพื่อนๆ ที่ยังไม่ค่อยรู้จักหุ้นเวียดนามเท่าไหร่ แอดมี Vietnam Weekly...
https://www.facebook.com/worldeconomicforum/videos/213361536242814/
Vietnam Update
>>สรุปไตรมาสแรก ภาครวมเศรษฐกิจเวียดนามยังดี
บริโภคแจ่ม (+7.09% YoY)
ค้าปลีกสวย (+9% YoY)
ท่องเที่ยวโต (+7% YoY) นำโดยนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ (+24.1%)
>> HT1 ปูนใหญ่แดนเวียด คาดยอดปูนปีนี้โต 5.6%
ตั้งเป้ารายได้ USD 388.1mn (+6.6% YoY) และกำไรก่อนภาษีที่ USD 39.9mn (+13.9% YoY)
ขอบคุณข้อมูลจาก บล.บัวหลวง
ตลาดสมาร์ทโฟนซบเซา ทำเศรษฐกิจเวียดนามไตรมาสแรกชะลอตัว
ความต้องการโทรศัพท์มือถือทั่วโลกอ่อนกำลังลง ทำให้ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสมาร์ทโฟนที่เป็นแหล่งรายได้ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม และส่วนใหญ่ผลิตโดยบริษัทซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ของเกาหลีใต้ ลดลง 4.3% จากปีก่อนหน้า
ซัมซุงที่ลงทุนโรงงาน 8 แห่ง และเป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดและมีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 5 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของประเทศ
อย่างไรก็ตามรัฐบาลตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ระหว่าง 6.6-6.8% ในปีนี้
แม้ว่าไตรมาสนี้เศรษฐกิจเวียดนามไตรมาสแรกชะลอตัว แต่หากดูตัวเลขการลงทุนใหม่ๆ รวมทั้งการที่เวียดนามอาจได้รับอานิสงส์หากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน สำหรับบริษัทระดับโลกต่างๆ ที่กำลังมองหาการย้ายฐานการผลิต และซัปพลายเชนออกจากจีน
แอดคิดว่าระยะยาวในอนาคตเวียดนามก็ยังจะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
Credit: https://mgronline.com/indochina/detail/9620000031842
VI กับการเมือง
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
“การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน” นี่เป็นคำกล่าวที่ผมคิดว่าเป็นจริง ทุกคนต่างก็มีความคิดเห็นทางการเมืองของตนเองและถ้าเปิดโอกาสให้แสดงออก “อย่างเสรี” เขาก็จะพูดหรือแสดงออกมา ความคิดทางการเมืองนั้น ก็เช่นเดียวกับเรื่องอื่น ๆ ทางสังคม มีวิวัฒนาการมายาวนานตั้งแต่มนุษย์เริ่มสร้างสังคม อยู่กันเป็นหมู่บ้าน เมือง และกลายเป็นรัฐและประเทศ เริ่มต้นนั้น การเมืองการปกครองก็เริ่มต้นโดยผู้ปกครองที่มี “อำนาจ” ในการสั่งการให้ผู้คนปฏิบัติตามเพื่อให้สังคมอยู่ในระบบหรือกฎเกณฑ์ที่จะทำให้คนที่อยู่ในสังคมสามารถร่วมกันจัดการงานต่าง ๆ ที่จะทำให้คนส่วนใหญ่มีโอกาสที่จะ “อยู่รอด” มากขึ้น อำนาจของคนในช่วงแรก ๆ นั้น มักจะมาจากความสามารถหรือคุณสมบัติส่วนตัว เช่น เป็นผู้ชาย เป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง เป็นต้น ต่อมาเมื่อมนุษย์เจริญขึ้น คนที่มีอำนาจก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป เช่น กลายเป็นคนที่ฉลาด มีความรู้ และได้รับการศึกษามากกว่า เป็นต้น
กระบวนการเปลี่ยนแปลงของอำนาจจากคนกลุ่มหนึ่งไปสู่คนอีกกลุ่มหนึ่งนั้น มักจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย บ่อยครั้งก็เกิดการต่อสู้กลายเป็นสงครามที่ทำให้คนล้มตายไปจำนวนมาก เหตุผลก็เพราะคนที่อยู่ในอำนาจนั้น มักจะได้รับผลประโยชน์มากมายในขณะที่คนที่ “ไม่มีอำนาจ” ซึ่งมักเป็นคนที่ “ด้อยกว่า” อาจจะเนื่องจากการเกิดหรือการถูกกดขี่เอาเปรียบจากระบบการเมืองหรือสังคมเดิมนั้น ต้องเป็นผู้รับภาระต่าง ๆ ผ่าน “ระบบ” ต่าง ๆ เช่น ภาษีหรือกฎหมายที่ “ไม่ยุติธรรม” สำหรับพวกเขา
ระบบของ “อำนาจ” นั้น ในช่วงที่โลกยังไม่เจริญก็มักจะอยู่ในมือของคนจำนวนน้อยถึงน้อยมาก ตัวอย่างเช่น ฟาโรห์ของอียิปต์ เป็นต้น ต่อมาเมื่อโลกเจริญขึ้นเรื่อย ๆ จำนวนคนที่มีอำนาจก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่จำนวนคน “มีอำนาจ” ที่เพิ่มเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินั้น เพิ่งจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้หรือไม่เกินร้อยกว่าปี นั่นก็คือวันที่โลกยอมรับว่า “ผู้หญิง” ก็มีอำนาจเท่า ๆ กับผู้ชาย เพราะด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการศึกษา ผู้หญิงหรือผู้ชายก็มีความสามารถไม่แพ้กัน
นอกจากเรื่องของอำนาจแล้ว แนวความคิดหรือหลักการว่าคนบางคนหรือบางกลุ่มนั้นมีอำนาจมากกว่าคนอื่นเองนั้น ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เริ่มต้นนั้นก็เช่นเดียวกัน คนที่มีอำนาจสูงสุดหรือเด็ดขาดมีเพียงคนเดียวหรือน้อยมาก ต่อมาเมื่อสังคมใหญ่และซับซ้อนขึ้น จำนวนคนที่มีอำนาจมากก็เพิ่มขึ้น และเมื่อโลกเจริญขึ้นที่ส่งผลให้คนมีการศึกษามากขึ้น พวกเขาก็ต้องการที่จะมีอำนาจมากขึ้น จนมาถึงจุดหนึ่ง สังคมหรือประเทศที่เจริญก้าวหน้ามากที่สุดก็ไม่สามารถที่จะ“กีดกัน” คนบางคนหรือบางกลุ่มไม่ให้มีอำนาจ และนั่นทำให้คนทั้งประเทศ “มีอำนาจเท่ากันหมด” ในทางกฎหมาย และนี่ก็คือระบบ “ประชาธิปไตย” ที่ไม่มีใครมีอภิสิทธิ์แม้แต่ผู้นำประเทศที่เป็นประธานาธิบดีอย่างของสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
ในประเทศที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มที่นั้น การจัดสรรอำนาจก็จะลดหลั่นกันไป คนบางคนหรือบางกลุ่มก็มักจะมีอำนาจมากกว่าคนอื่น คนที่มีอำนาจน้อยกว่าคนอื่นเองนั้นก็ยังอาจจะมีมากและพวกเขายัง “ยอมรับ” หรือไม่สามารถที่จะ“ต่อสู้” เพื่อเพิ่มอำนาจของตนเองให้เท่าเทียมกับคนอื่นที่ “อยู่ในอำนาจ” อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าของประเทศและสังคมที่ดำเนินไปเรื่อย ๆ บางทีอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับอดีตร้อยหรือหลายร้อยปีที่ผ่านมานั้น ทำให้คนที่มีอำนาจน้อยสามารถเพิ่มศักยภาพหรือความสามารถของตนขึ้นมาเรื่อย ๆ และเมื่อถึงวันหนึ่ง พวกเขาก็อยากที่จะมีอำนาจเท่า ๆ กับคนอื่นและถ้าถูกปฏิเสธหรือถูกกีดกัน พวกเขาก็จะลุกขึ้นมา “ต่อสู้” ด้วยวิธีการต่าง ๆ และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมาตลอด
ในสังคมของประเทศที่พัฒนาแล้วและทุกคนมีอำนาจเท่า ๆ กันแล้ว ความคิดทางการเมืองก็จะเปลี่ยนเป็นเรื่องของสิทธิและเสรีภาพที่เขาจะทำได้ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้เดือดร้อนใครหรือทำให้คนอื่นเสียสิทธิอันชอบธรรมของตนเอง คนที่มีแนวโน้มที่สนับสนุนแนวทางแบบนี้มักจะเป็นคนที่มองว่า เราควรส่งเสริมให้คนมีความเป็น “ปัจเจกชน” อย่าไปสร้างกฎหมายหรือกฎเกณฑ์อะไรก็ตามที่จะไปลดความคิดสร้างสรรค์และแรงจูงใจในการทำงานของคน นอกจากนั้น พวกเขามักจะเคารพในสิทธิต่าง ๆ ของคนแม้ไม่ใช่เรื่องของกฎหมายอย่างเช่นเรื่องของเพศสภาพ การให้ผู้หญิงมีสิทธิที่จะทำแท้ง การนับถือหรือไม่นับถือศาสนา หรือเรื่องต่าง ๆ ที่ “ไม่ได้เดือดร้อนใคร” เป็นต้น ในอีกด้านหนึ่ง พวกเขาก็อยากส่งเสริมให้คนทุกคนมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเพื่อให้ “เท่าเทียม” กับคนอื่น ๆ พวกเขาคิดว่าคนเกิดมาก็เท่ากัน แต่ที่แย่กว่าคนอื่นเป็นเพราะระบบเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ดังนั้น คนในสังคมที่รวยกว่าก็ควรที่จะต้องเสียสละเพื่อให้สังคมส่วนรวมดีขึ้น และนี่ก็อาจจะเรียกว่าเป็นแนวคิดแบบ “เสรีนิยม”
ตรงกันข้ามกับเสรีนิยมก็คือแนวคิดแบบ “อนุรักษ์นิยม” ที่มีความคิดว่า “คนไม่เท่ากัน” คนบางคนหรือบางกลุ่มนั้นเหนือกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเกิดหรือการพัฒนาตนเอง การให้สิทธิที่เท่าเทียมกันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง พวกเขาคิดว่าสังคมที่ดีนั้น จะต้องมีคนที่ดีกว่าเป็นผู้นำ การมีกฎหมายหรือประเพณีและวัฒนธรรมที่ “ดี” และทุกคนยึดมั่นในคำสอนของศาสนาหลักของประเทศ จะทำให้สังคมก้าวหน้าและ “สงบสุข” ดังนั้น พวกเขาก็มักจะส่งเสริมอะไรก็ตามที่เป็นความคิดของสังคมยุคเก่า
เรื่องที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI ก็คือ คนที่เป็นนักลงทุนระดับเซียนโดยเฉพาะที่เป็นแนว VI พันธุ์แท้ระดับโลกอย่างวอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น พวกเขามีความคิดทางการเมืองแบบไหน?
ชัดเจนว่าวอเร็น บัฟเฟตต์นั้นอยู่ข้าง “เสรีนิยม” คือเป็นเดโมแครท ทั้ง ๆ ที่พ่อของเขาซึ่งเป็น นักการเมืองเต็มตัวและเป็นสภาชิกสภาคองเกรสหลายสมัยนั้นเป็น “อนุรักษ์นิยม” สุด ๆ และเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน ว่าที่จริงในช่วงที่โอบามาเป็นประธานาธิบดีนั้นก็มีข่าวว่าเขาอยากให้วอเร็น บัฟเฟตต์ เป็นรัฐมนตรีคลังแต่บัฟเฟตต์ปฎิเสธ บัฟเฟตต์เองนั้นก็มักเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองอยู่เสมอ เขามักช่วยหาเสียงแนว “ประกาศสนับสนุน” ผู้สมัครที่เขาชื่นชอบ แต่คงไม่ได้บริจาคเงินมากมาย เขายังเคยเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ที่ทรงอิทธิพลทางการเมืองที่สุดฉบับหนึ่งและเป็นหนังสือพิมพ์แนวเสรีนิยม ตัวบัฟเฟตต์เองเห็นว่าสังคมอเมริกันนั้น คนรวยยังได้เปรียบคนจนมากและยังจ่ายภาษีน้อยเกินไป เขาบอกว่าเลขาของเขาจ่ายภาษีคิดเป็นเปอร์เซ็นต์สูงกว่าตัวเขาดังนั้นเขาเรียกร้องให้เก็บภาษีคนรวยมากขึ้น
จอร์จ โซรอส เองนั้น แม้จะไม่ได้เป็น VI แต่หลักความคิดและการลงทุนของเขาเองผมคิดว่าไม่ได้ต่างกัน เขาเป็นคนที่สนใจและเกี่ยวข้องกับการเมืองสูงมากโดยเฉพาะในประเทศฮังการีซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของเขา และยุโรปตะวันออกที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยโดยเฉพาะในอดีต โซรอสเองนั้นถึงกับตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนคนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสร้าง “สังคมเปิด” ในประเทศต่าง ๆ ด้วยเงินจำนวนมาก
สำหรับ VI ไทยเองนั้น ผมคงไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะว่าสังคมการเมืองของไทยเองนั้น ยังไม่ได้พัฒนาเพียงพอที่คนจะประกาศตนสนับสนุนแนวความคิดบางอย่างได้โดยเฉพาะที่เขายังต้อง “อยู่กับระบบ” เพราะเขาทำธุรกิจหรือทำงานในหน่วยงานหรือบริษัท เพราะในบางครั้งอาจจะทำให้คนทำ “มีปัญหา” ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเข้าไปทำงานการเมือง นอกจากนั้น ในสังคมไทยเอง คนจำนวนมากหรือส่วนใหญ่ก็มักจะยังไม่ค่อยยอมรับความแตกต่างทางการเมือง การแสดงจุดยืนที่ชัดเจนก็อาจจะทำให้ “เสียเพื่อน” ได้
ในส่วนตัวผมเองนั้น ผมคิดว่าแนวความคิดทางการเมืองของผมมีพัฒนาการมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่เด็กที่มีความเป็นอนุรักษ์นิยม และเริ่มเป็นเสรีนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่เริ่มเป็น VI เมื่อกว่า 20 ปีก่อน ส่วนสำคัญน่าจะมาจากการศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการเมืองเนื่องจากมีเวลามากขึ้นหลังจากเกษียณจากงานประจำในองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ที่มักจะประกอบไปด้วยคนที่มีแนวโน้มการเป็นอนุรักษ์นิยมตามธรรมชาติในสังคมไทย
หุ้นกาแฟเวียดนาม
ในเมืองไทยการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมร้านกาแฟก็อยู่มากมาย แต่ร้านกาแฟที่เป็นที่นิยมและมียอดขายสูงสุดคงหนีไม่พ้นกาแฟ Amazon จาก ปตท. ที่มีส่วนแบ่งสูงสุดประมาณ 40%
เวียดนามเป็นอีกประเทศที่นิยมดื่มกาแฟ เวียดนามมีการปลูกกาแฟและผลิตส่งมาขายต่างประเทศเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียงประเทศบราซิล ปัจจุบันกาแฟเวียดนามที่นิยมและมีจำหน่ายในบ้านเรา ได้แก่ G7
คนเวียดนามนิยมดื่มกาแฟหลายแก้วต่อวัน ดื่มก่อนไปทำงาน กลางวัน แม้แต่เลิกงาน ความชื่นชอบนี้ทำให้มีการคาดการณ์ว่าตลาดกาแฟในเวียดนามจะเติบโตขึ้นอีก 8.2% ในปีนี้
ทุกวันนี้ ความหลงใหลในกาแฟของชาวเวียดนามไม่ได้เปลี่ยนไป แต่จำนวนชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น การแพร่หลายของวัฒนธรรมตะวันตก และอินเทอร์เน็ต ทำให้กาแฟที่ถูกปากไม่เพียงพออีกแล้ว ชาวเวียดนาม โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นที่ชอบประสบการณ์แปลกใหม่และการทดลองมีแนวโน้มที่จะใช้บริการร้านกาแฟที่ตกแต่งสวยงาม หรูหรา และมีสไตล์มากขึ้น พร้อมกับการเกิดกระแสแฟรนไชส์กาแฟชื่อดัง เช่น Trung Nguyen, Starbuck และ Cong Caphe
คล้ายกับเมืองไทยที่ร้านเหล่านี้จะมีการตกแต่งที่ทันสมัย ฟรี Wifi สามารถใช้เวลาภายในร้านได้นาน อาจใช้เพื่อทำงาน อ่านหนังสือ นัดหมายหรือพบปะพูดคุย สิ่งที่สำคัญ คือ สามารถถ่ายภาพเพื่อแชร์ลงโซเชียลเน็ตเวิร์กได้ นอกจากนั้น กระแส Specialty Coffee ก็ได้รับความนิยมเช่นกันกระบวนการคัดเลือก คั่วและชงกาแฟอย่างใส่ใจรายละเอียดทำให้ร้านเหล่านี้มีราคาที่สูงกว่าร้านทั่วไป
อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้บริโภครุ่นเก่าก็ยังคงนิยมร้านกาแฟแบบเดิมอยู่ โดยชาวเวียดนามภาคเหนือจะชื่นชอบการดื่มด่ำ มีแบบแผน พูดคุยระหว่างดื่มกาแฟ แต่ชาวเวียดนามภาคใต้จะชอบความรวดเร็ว ซื้อกลับบ้านหรือดื่มที่ร้านอย่างเร็วๆ เนื่องจากการปรับเปลี่ยนเป็นแหล่งการค้าและเศรษฐกิจ...
Natural Value Investor
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โลกในมุมมองของ Value Investor 23 มีนาคม 62
การที่จะเป็น Value Investor “พันธุ์แท้” นั้น ถ้าจะบอกว่าเป็น “เรื่องยาก” ก็คงจะไม่ผิด แต่ถ้าบอกว่ามันเป็นเรื่อง “ไม่ยาก” ก็อาจจะไม่ผิดเช่นเดียวกัน เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งนั้น น่าจะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติส่วนตัวและนิสัยของคนที่ต้องการจะเป็น VI คนบางคนนั้นพยายามเท่าไรหรือพยายามเรียนรู้เท่าไรก็ไม่สามารถทำได้ แต่สำหรับบางคนแล้ว แค่ได้รับคำอธิบายหรืออ่านหนังสือเกี่ยวกับ VI ไม่เท่าไรก็เข้าใจและปฏิบัติได้แทบจะทันที บางทีอาจจะเพราะว่าหลักการของ VI นั้น มันตรงกับ “จริต” หรือความคิดและความเชื่อของเขาที่ฝังอยู่ในใจมานาน บางที “ตั้งแต่เกิด” ดังนั้น เขาจึงยอมรับมันอย่างเต็มใจและทุ่มเทกับมันและกลายเป็น “VI ผู้มุ่งมั่น” ที่ลงทุนและใช้ชีวิต “แบบ VI”
คุณสมบัติของคนที่จะเป็น Value Investor พันธุ์แท้ ได้ง่ายนั้น ผมอยากจะเรียกว่าเป็น “Natural Value Investor” ซึ่งเป็นคุณสมบัติส่วนตัวบางอย่างที่จะทำให้เขาสามารถเรียนรู้และปฏิบัติตนแบบ VI ได้ง่ายและอาจจะไม่ต้องพยายามหรือฝืนใจอย่างหนัก เขาสามารถทำมันได้แบบเป็น “ธรรมชาติ” มาก เขาอาจจะไม่รู้สึกกระวนกระวายและคิดว่าจะต้องขายหุ้นในยามที่ตลาดหลักทรัพย์หรือหุ้นที่เขาถืออยู่ตกลงมาอย่างหนักโดยที่พื้นฐานของกิจการดูเหมือนว่าจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร เขาอาจจะสามารถขับรถเก่าราคาถูกไปไหนมาไหนโดยที่ไม่ได้สนใจว่าใครจะมองว่าจนหรือไม่รวยทั้ง ๆ ที่เขาเป็นเศรษฐี และตัวอย่างของคนที่น่าจะเป็น Natural VI ที่เรารู้จักกันดีก็คือ วอเร็น บัฟเฟตต์ แต่สิ่งที่คนจำนวนมากอาจจะไม่รู้ก็คือ คนอย่างจอห์นเนฟ หรือเซียน VI ระดับโลกหลายคนก็มีลักษณะคล้าย ๆ กัน เขาเหล่านั้นเป็น “Natural Value Investor” เป็นคนที่เรียนรู้และใช้ชีวิตแบบ VI มานานหรือตั้งแต่เด็กก่อนที่จะดังระดับโลก
คุณสมบัติของ Natural VI ที่ผมคิดว่าสำคัญมากและใครก็ตามที่มีลักษณะหรือนิสัยแบบนั้นจะมีศักยภาพเป็น “VI พันธุ์แท้” ได้ง่ายถ้าเริ่มเข้ามาศึกษา เรียนรู้และปฏิบัติตน ก็คือ ข้อแรก เขาเป็นคนที่มีนิสัย “ประหยัดอดออม” ไม่ชอบใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายหรือใช้เงินในสิ่งที่ “ฟุ่มเฟือย” โดย “ไม่จำเป็น” ตัวอย่างเช่น การใช้สินค้าแบรนด์เนมที่มีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับประโยชน์ใช้สอยและรู้สึก “เสียดายเงิน” ที่อาจจะหามาได้อย่าง “ยากเย็น” การเป็นคน “ประหยัด” นั้น แน่นอน ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นคนที่ “ยังไม่มีเงิน” พอที่จะใช้จ่ายสินค้าหรูหรือแพง แต่คนที่ “ไม่มีเงิน” ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยประหยัด หลายคนพอมีเงินหรือได้เงินมาก็ใช้จ่ายเกินตัวและติดหนี้สินอีกต่างหาก ดังนั้น คนประหยัดในความหมายที่แท้จริงก็คือคนที่ “ใช้จ่ายเงินน้อยกว่าความมั่งคั่งหรือสินทรัพย์สุทธิ” ของเขามาก ซึ่งทำให้เขาสามารถ “ออมเงิน” ได้มากกว่าคนปกติที่มีรายได้เท่า ๆ กัน
คุณสมบัติข้อสองที่จะทำให้คน ๆ นั้นมีโอกาสเป็น VI ได้ง่ายก็คือการเป็นคนที่ “มีเหตุมีผลเสมอ” หรือมีความคิดที่เป็นเหตุเป็นผล ไม่เชื่อในเรื่องที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่มีข้อพิสูจน์เช่นเรื่องของไสยาศาสตร์หรือโหราศาสตร์ ความเชื่อที่มีเหตุมีผลนั้น แน่นอน ไม่ใช่ว่าต้องเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ล้วน ๆ แบบหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง ศาสตร์ทางสังคมเช่นเรื่องของเศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่มีเหตุมีผลที่ทำให้เราสามารถคาดการณ์สิ่งต่าง ๆ ในสังคมและในทางเศรษฐกิจได้ถูกต้องหรือใกล้เคียงพอที่จะนำมาใช้ในการลงทุนและดำรงชีวิตได้ ประเด็นสำคัญก็คือ คนที่จะเป็น VI นั้น จะต้องคิดแบบมี Logic หรือมีเหตุผลไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ในสังคมเชื่อ
คุณสมบัติข้อสามก็คือ VI โดยธรรมชาตินั้น มักจะต้องเป็นคนที่มี “วินัย” สูง นั่นก็คือ เมื่อเขามีหลักการ มีความคิดและมีแผนที่จะทำอะไรรวมถึงการลงทุนในหุ้นที่เขาศึกษาและวิเคราะห์มาเป็นอย่างดีแล้ว เขาก็จะทำตามแผนการนั้นโดยไม่วอกแวก เขามักจะเป็นคนที่มีความมั่นคงทางอารมณ์และมักจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรง่าย ๆ เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบชั่วคราวแต่ในระยะยาวแล้วสิ่งที่เขาคิด เชื่อ และกระทำยังเป็นสิ่งที่ถูกต้อง การเป็นคนที่มีวินัยสูงนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนที่ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่คนอื่นกำหนด ตรงกันข้าม วินัยนี้จะต้องเป็นสิ่งที่ผ่านการพิจารณาและไตร่ตรองมาเป็นอย่างดี มีเหตุมีผลและมีข้อพิสูจน์แล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องและจะทำให้เราประสบความสำเร็จในระยะยาว ตัวอย่างที่ผิดที่เรามักจะพบบ่อยมากในเรื่องของการลงทุนก็เช่น คนบางคนซื้อหุ้นบางตัวที่ไม่ได้มีพื้นฐานที่ดีเลยในราคาที่แพงแต่กลับคิดว่ามันเป็น “หุ้น VI” แต่หลังจากนั้น ราคาหุ้นตกลงไปมาก เขาคิดว่าเขา “มีวินัย” ที่จะ “ถือยาว” แบบ “VI” ที่เชื่อว่าราคาที่ลงนั้นแค่ความผันผวน ไม่ช้าราคาหุ้นก็จะต้องปรับตัวกลับขึ้นมา แต่นี่ไม่ใช่วินัยที่ถูกต้อง วินัยที่ถูกต้องแท้จริงก็คือ การซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดีและราคาหุ้นถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง และถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว เราก็จะไม่จำเป็นต้องขายหุ้นถ้าราคามันตกลงมา
Natural Value Investor ข้อสุดท้ายที่ผมคิดว่าถ้าคุณเป็น โอกาสที่คุณจะกลายเป็น VI ง่ายขึ้นก็คือ คุณ “เกิดมาจน” เพราะถ้าเกิดมาจน โอกาสที่คุณจะเป็นคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็น่าจะน้อยลงไปมาก คุณมีโอกาสที่จะกลายเป็นคนประหยัดอดออมได้มากกว่าปกติเพราะคุณอาจจะต้องออมเงินไว้ใช้ในยามที่คุณประสบปัญหา “ไม่มีเงินกินข้าว” คุณมักจะเห็น“คุณค่าของเงิน” มากกว่าคนที่รวยกว่า แต่การเกิดมาจนนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีโอกาสเป็น VI มากกว่าคนอื่น ตรงกันข้าม ถ้าคุณเกิดในครอบครัวที่ยากจน โอกาสสูงว่าคุณอาจจะไม่ได้เป็นนักลงทุนด้วยซ้ำอย่าว่าแต่จะเป็น VI เลย เหตุผลเป็นเพราะเวลาที่เกิดเป็นคนจนแล้ว โอกาสที่จะมีคุณสมบัติอย่างอื่นก็มักจะด้อยไปมาก เช่น เรื่องของการศึกษาที่คุณมักจะด้อยกว่าค่าเฉลี่ย เรื่องของความคิดต่าง ๆ ก็อาจจะไม่สอดคล้องเพราะคุณอาจจะอยู่ในสังคมที่คนมักเชื่อในเรื่องของบุญกรรมแต่ชาติก่อนที่ทำให้เกิดมาจน เป็นต้น พูดง่าย ๆ เรื่องของ Logic อาจจะหายไปมากก็ได้
คนที่เป็น Natural VI ตามคุณสมบัติหลายข้อที่ผมกล่าวถึงนั้น จะต้องหมายถึงว่าคุณสมบัติอย่างอื่น ๆ เช่น เรื่องของการศึกษาและเรื่องของ IQ จะต้องไม่แพ้คนโดยทั่วไปหรือคนที่ถูกนำมาเปรียบเทียบกันด้วย และถ้าคุณมีคุณสมบัติ 4-5 ข้อที่ผมพูดถึงแล้ว โอกาสที่คุณจะเป็น VI หลังจากผ่านการศึกษาเรียนรู้แล้วก็จะง่ายขึ้น การที่จะต้อง “ปรับตัว” หรือปรับความคิดต่าง ๆ ก็จะง่ายขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณจะไม่ได้มีคุณสมบัติดังกล่าวหรือมีไม่ครบถ้วน คุณก็ยังมีโอกาสเป็น VI ที่ดีได้ถ้าคุณสามารถปรับความคิดหรือปรับแนวทางให้เป็นแบบแนว VI ที่ถูกต้องได้เพียงแต่ว่ามันอาจจะยากกว่า นอกจากนั้น เรื่องของ Degree หรือระดับของคุณสมบัติก็มีส่วนด้วย ตัวอย่างเช่น คนที่ไม่ได้มี Logic มากเช่น คนที่มีความเป็นศิลปินมาก ๆ ก็อาจจะเป็น VI ได้ยาก แต่คนที่มีความคิดแนวเหตุผลและมีความเป็นศิลปินด้วยก็อาจจะไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเป็น VI ที่ดีเลยก็ได้
ผมเองลองมองย้อนมาดูตัวเองตั้งแต่เด็กก็พบว่าผมน่าจะเป็น “Natural Value Investor” ตั้งแต่เกิดเพราะเกิดในครอบครัวที่ยากจนมาก เป็นคนที่อดออมและพยายามทำงานหาเงินมาตั้งแต่เด็กส่วนหนึ่งเพราะกังวลว่า “พรุ่งนี้ครอบครัวเราจะมีอะไรกินไหม” เพราะในสมัยเมื่อ 60-70 ปีก่อนนั้น ความจนแปลว่าคุณอาจจะไม่มีอะไรกิน ในช่วงที่เริ่มทำงานเก็บเงินได้แล้วนั้น อัตราการออมของผมน่าจะสูงกว่า 30% นอกจากนั้น ผมเองก็เป็นคนที่มีวินัยและความรับผิดชอบสูงตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่ชอบคิดเลขและใช้ Logic ในขณะที่รู้สึกว่าตนเองทำงานศิลปะและคิดแบบศิลปินไม่ได้เลย ทั้งหมดนั้นเป็นช่วงที่ผมยังเด็ก แต่เมื่ออายุมากขึ้นและเริ่มมีฐานะดีขึ้น ความคิดและนิสัยบางอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปบ้างส่วนหนึ่งมาจากคนใกล้ชิด ตัวอย่างเช่น เรื่องของการคิดแบบสร้างสรรค์เริ่มมีมากขึ้นจากคนที่เคยเป็นคน “หัวสี่เหลี่ยม” ความประหยัดอดออมก็ลดลง ทั้งหมดนั้นทำให้ผมกลายเป็น “VI ผู้มุ่งมั่น” ได้อย่างง่ายดายเมื่อผมเริ่มศึกษาและปรับตัวกลายเป็นนักลงทุนเต็มตัวเมื่อกว่า 20 ปีที่ผ่านมา