งานสังสรรค์ปีใหม่ VVI 2024
ส่งท้ายตลาดหมี สวัสดีปีมังกร
VVI New Year Networking Party 2024
เสาร์ 20 ม.ค. 2024 l 16.00-21.30 น.
สมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปิดห้องคุย แชร์ข้อมูลแบบไม่มีกั๊ก และเป็นกันเอง
แชร์หุ้น เจ๊ง-เจ๊า-เจ๋ง ตลาดเวียดนาม อเมริกา จีน ไทย ฯลฯ
ปีหน้าเอาไง หุ้นไหนน่าจะรุ่ง? วางแผนภาษีหุ้นนอกยังไงดี?
กับ Special Guest Speakers
สมัครได้เลยที่: https://forms.gle/bu7iZ1mgxkZ9QqfY8
-----------------
Agenda
เสาร์ 20 ม.ค. 2024 16.00-21.30 น.
16.00-16.30: ลงทะเบียน
ทักทาย พูดคุยตามอัธยาศัย มีน้องๆ นักศึกษาเวียดนามมาร่วมคุยถามตอบความเห็นทั่วไปในเวียดนาม
16.30-17.00: Match! เกมส์ กิจกรรม
ทำความรู้จักเพื่อนนักลงทุนที่มาร่วมงาน พร้อม Match นลท. สไตล์เดียวกันในงาน
17.00-17.45: หุ้นไทย เจ๊ง เจ๊า เจ๋ง (คนละ 15 นาที)
P’เชาว์ เฉลิมเดช...
โลกในมุมมองของ Value Investor 16 ธ.ค. 66
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เคยสงสัยไหมว่าราคาหรือดัชนีตลาดหุ้นของแต่ละประเทศทำไมมีความแตกต่างกันมาก และการปรับตัวก็แตกต่างกัน อย่างตลาดหุ้นจีนนั้น ราคาก็ถูกมากไม่น่าเชื่อ ค่า PE ของตลาดถ้าเข้าใจไม่ผิดก็อยู่ที่ประมาณ 10 เท่าบวกลบ แต่พอเราซื้อเข้าไปเพราะคิด “แบบ VI” หรือคิดแบบวิเคราะห์พื้นฐานแล้วคุ้มค่าแน่นอน ราคาและดัชนีหุ้นกลับลดลงไปอีกมาก
ส่วนหุ้นอเมริกานั้น ค่า PE สูงกว่ามาก และราคาก็ขึ้นมาสูงจนเกือบ “All Time High” ที่ไม่น่าจะถูกเลย “VI พันธุ์แท้” ก็มักจะรับไม่ได้ แต่นักลงทุนซึ่งรวมถึง “VI รุ่นใหม่” ซื้อ หุ้นก็วิ่งต่อไปอีกมาก
ที่นักลงทุนเจ็บตัวหนักก็คือดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ “ปรับตัวลดลงทุกวัน” หุ้นดี ๆ จำนวนมากตกลงมาต่ำกว่าอดีตมากมายและเราก็ไม่เห็นว่าบริษัทจะแย่ลง พวกเขาก็ยังอยู่อย่างแข็งแกร่ง มีกำไรที่ดีและจ่ายปันผลงดงามเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยที่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็คงไม่สูงไปกว่า 1-4% อย่างที่เห็นในวันนี้ แต่พอเราซื้อไปหลังจากที่มันตกลงมามากและนานแล้ว ราคาหุ้นก็ไม่ไปไหนนอกจากตกลงต่อไปอีก
คำถามสำคัญก็คือ ตกลงราคาและดัชนีตลาดหุ้นในแต่ละแห่งนั้น มีความเหมาะสมหรือไม่ มันสะท้อนถึง “คุณค่าที่แท้จริง” ของกิจการโดยเฉลี่ยไหม? อะไรหรือปัจจัยอะไรเป็นตัวกำหนดราคาและดัชนีตลาดหุ้น
มีทฤษฎีสองเรื่องที่พยายามจะอธิบายเรื่องของเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ซึ่งขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง และคนที่เป็น “บิดา” ของทั้งสองทฤษฎีต่างก็ได้รับรางวัลโนเบลทั้งคู่
ทฤษฎีแรกนั้น ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 2 ธันวาคม 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คำพังเพย “ฟ้าหลังฝน” นั้น ผมคิดว่าน่าจะตรงกับสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยปีหน้าที่ผมคิดว่าน่าจะดีงามขึ้นหลังจากที่ประสบกับปัญหาใหญ่ที่หุ้นตกแรง “ที่สุดในโลก” ในปีนี้ที่ถึงวันที่ 1 ธันวาคม 2566 หุ้นตกลงมาจากปลายปีที่แล้วจาก 1669 จุดเหลือเพียง 1380 จุด หรือลดลงถึงกว่า 17% หลังจากที่ปี 2565 ตลาดหุ้นไทยก็แทบไม่ขยับเลยจากปี 2564 หรือผลตอบแทนประมาณ 0%
ประสบการณ์ของผมกับตลาดหุ้นไทยในช่วงประมาณ 27 ปี ก็คือ ดัชนีตลาดหุ้นไทยมักจะขึ้นประมาณ 60% ของปี และลงประมาณ 40% ซึ่งทำให้การลงทุนในแต่ละปีมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ในขณะที่ตลาดหุ้นอย่างสหรัฐนั้น ผมคิดว่าปีที่หุ้นขึ้นน่าจะอย่างน้อย 70% ขึ้นไป ในขณะที่ปีที่หุ้นลงน่าจะไม่เกิน 30%
พฤติกรรมอีกอย่างหนึ่งของตลาดหุ้นไทยก็คือ ถ้าปีไหนตลาดหุ้นไทยขึ้นแรงมาก ปีต่อไปตลาดก็มักจะตกลงมาแรง ตัวอย่างก็เช่น ปี 2542 ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นไป 36% แต่พอถึงปี 2543 ตลาดก็ตกลงไป 44% จริงอยู่คนอาจจะบอกว่าปี 2543 หรือปี...
โลกในมุมมองของ Value Investor 25 พฤศจิกายน 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยจำนวนมากในช่วงนี้ถ้าถูกถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง” ผมอยากจะตอบเป็นภาษาอังกฤษด้วยคำ ๆ เดียวคือ กำลัง “Struggle” ซึ่งดิกชันนารีของไทยแปลออกมาว่า “ต่อสู้ ดิ้นรน ฝ่าฟัน แข่งขัน ตะเกียกตะกาย” และความหมายในภาษาอังกฤษที่อธิบายคำ ๆ นี้ก็มักจะพูดถึงการต่อสู้ทางการเมือง การทหาร การปฏิวัติ ที่สิ้นหวัง ขมขื่น ยากลำบากและยาวนาน โดยไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดได้ไหม เป็นต้น ซึ่งผมเองคิดว่าคนที่ลงทุนในหุ้นไทยอยู่ในช่วงนี้ก็คงมีอาการคล้าย ๆ กัน คือกำลัง Struggle
เริ่มจากนักลงทุนส่วนบุคคลรายใหญ่ ๆ ซึ่งมักจะได้ฉายาว่าเป็น “เซียนหุ้น” ทั้งเก่าและใหม่ที่หุ้นตกรอบนี้ ซึ่งโดยภาพรวมนั้นก็ไม่ถึงกับเป็นภาวะตลาดหุ้นวิกฤติที่หุ้นมักจะตกลงมาแรงในระดับ 30-50% แต่กลุ่มหุ้นที่เคยมีการ “เก็งกำไรร้อนแรง” ทั้งหุ้นดีแนว ซุปเปอร์สต็อกหรือหุ้นเติบโต แนวหุ้นปั่นหรือหุ้นที่ถูกคอร์เนอร์ หรือหุ้นที่เป็นทุกอย่างที่กล่าว ต่างก็ตกลงมาอย่างหนัก ในระดับ “หายนะ” 30-50% เช่นกัน ซึ่งทำให้ขาใหญ่หรือเซียนหุ้นที่มักจะถือหรือเล่นหุ้นเหล่านั้น เจ็บตัวอย่างที่แทบไม่เคยประสบมาก่อนในรอบสิบปีหรือมากกว่านั้น
พอร์ตหุ้นที่เคยใหญ่โต ช่วงหนึ่งบางคนเคยสูงหลายพันล้านบาทจนคนเริ่มจะเรียกว่า “เซียนหุ้นหมื่นล้าน” ตอนนี้ก็อาจจะตกลงมาเหลือ ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 18 พฤศจิกายน 66
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ช่วงเร็ว ๆ นี้ ผู้กำกับหรือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องหรือมีหน้าที่ดูแลและพัฒนาตลาดทุนหรือตลาดหุ้น อาทิเช่น ตลาดหลักทรัพย์และ กลต. ต่างก็ถูกโจมตีจากนักเล่นหุ้นว่าไม่ได้ทำอะไรที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนที่เข้าไปเล่นหุ้นที่กำลังขาดทุนอย่างหนักเพราะตลาดหุ้น “ตกเอา ๆ” อันเนื่องจากการที่ตลาดปล่อยให้มีการทำชอร์ตเซลโดยเฉพาะแบบที่คนทำไม่ได้มีหุ้นหรือที่เรียกว่า “Naked Short” หรือมีการปล่อยให้นักลงทุนบางกลุ่มทำการซื้อขายหุ้นโดยหุ่นยนต์ที่เรียกว่า “Robot Trading” ที่สามารถทำการซื้อขายอย่างรวดเร็วด้วยต้นทุนการซื้อขายที่ถูกมาก ซึ่งทำให้ได้เปรียบนักลงทุนส่วนบุคคลทั่วไป
ดูเหมือนว่าทั้งผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์และกลต. ต่างก็แถลงแก้ว่าได้ตรวจสอบดูข้อมูลอย่างละเอียดแล้วพบว่า ไม่มีการทำ Naked Short และการทำชอร์ตเซลที่ต้องยืมหุ้นก็มีระดับปกติ เช่นเดียวกับ Robot Trade ซึ่งก็ทำมานานแล้วก่อนที่ตลาดหุ้นจะตกลงมาแรงในช่วงนี้ ส่วนกลต. เองก็มองว่า ชอร์ตเซลเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับการลงทุนและก็ได้กำหนดแนวทางต่าง ๆ ที่เหมาะสมเพื่อควบคุมการทำชอร์ตเซลไม่ให้ตลาดหุ้นผันผวนเกินไปรวมถึงการที่จะต้องเปิดเผยข้อมูลให้นักลงทุนทราบ
เช่นเดียวกัน การซื้อขายด้วย AI หรือหุ่นยนต์เองนั้นก็เป็นวิวัฒนาการที่ตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้วใช้มานานแล้วและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงตอนนี้มีปริมาณการซื้อขายมากกว่าที่ทำโดยคนไปแล้ว ถ้าไปห้ามก็คงทำให้ตลาดหุ้นไม่พัฒนา ส่วนเรื่องว่าเป็นการเอาเปรียบผู้ถือหุ้นโดยเฉพาะรายย่อยอื่นนั้น แม้กลต.จะไม่ได้พูดถึง แต่ก็ได้พูดว่านักลงทุนแต่ละกลุ่มเองนั้นก็มีมุมมองไม่เหมือนกัน นัยยะก็อาจจะเป็นว่า คนที่ลงทุนระยะยาวก็อาจจะไม่ได้คิดว่าการเทรดที่เร็วกว่าโดยหุ่นยนต์เป็นเรื่องที่ทำให้ตนเองเสียเปรียบ พวกเขาอาจจะชอบด้วยซ้ำถ้าทำให้หุ้นมีสภาพคล่องที่ดี เวลาขายจะได้มีคนมารับ เป็นต้น
ผมเองคงไม่ถกเถียงว่าใครผิดหรือถูก เพราะเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” ระยะสั้นที่จะผ่านไปในไม่ช้า โดยเฉพาะถ้าหุ้นเริ่มปรับตัวดีขึ้นมาก ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 11 พฤศจิกายน 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คนที่ลงทุนหรือเล่นหุ้นมานานมากนั้น ส่วนใหญ่ผมเชื่อว่ามักจะมีความคิดที่ “ฝังใจ” กับหุ้นบางประเภทที่ตนเองเคยประสบและมีประสบการณ์ที่ “ไม่ดี” ซ้ำอยู่หลายหนจนทำให้ “เข็ด” และหลังจากนั้นก็จะไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วยแม้ว่าหุ้น “ตัวใหม่” อาจจะกำลัง “ดูดี” น่าลงทุน เหตุผลรวบยอดที่ใช้ก็คือ เขา “เกลียด” หุ้นที่มีลักษณะแบบนั้น เพราะลงทุนหรือเล่นแล้วก็มักจะขาดทุนหรือหุ้นไม่ไปไหน ตัวอย่างที่เห็นบ่อย ๆ ในเว็บบอร์ดสาธารณะเกี่ยวกับหุ้นก็เช่น “กลุ่มหุ้นปันผล” ที่จ่ายหรือกำลังจะจ่ายปันผลงดงามที่มักจะพบคอมเม้นท์ที่ว่า “อยากเอาปันผลไปคืน” หลังจากวัน X-Dividend หรือวันที่ได้รับสิทธิในปันผลไปแล้วและราคาหุ้นตกลงมามากกว่าเงินปันผลที่ได้พอสมควร ซึ่งทำให้ซื้อแล้ว “ขาดทุน”
หุ้นที่ซื้อแล้ว “ขาดทุน” หรือ “ไม่ได้อะไรเลย” แม้ว่าจะวิเคราะห์ดีแล้ว และผลประกอบการก็ออกมา “ดีตามคาด” เป็นหุ้นที่มักทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะ VI รู้สึกผิดหวังมากกว่าปกติ และนั่นก็อาจจะไม่ใช่ครั้งเดียว แต่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ จนถึงจุดหนึ่งเราก็จะ “เกลียด” และจะหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับหุ้นแบบนั้น ซึ่งก็มีหลายแบบมากดังตัวอย่างต่อไปนี้
กลุ่มแรกก็คือ หุ้นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่หรือเจ้าของเป็นกลุ่มที่ไม่ใคร่จะสนใจนักลงทุนที่เข้ามาซื้อขายหุ้น อาจจะเพราะพวกเขาไม่เห็นประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยเลยเพราะเขาไม่สนใจหรือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องระดมเงินอีกต่อไปแล้ว เช่นเดียวกับการที่ไม่คิดจะขายหุ้นซึ่งอาจจะอยู่ในบริษัทโฮลดิ้งหรือกงสีที่เป็นแหล่งของความมั่งคั่งของคนในกลุ่มของตนเองที่เป็นเจ้าของร่วมกัน ดังนั้น พวกเขาก็อาจจะไม่สนใจที่จะทำให้ราคาหรือมูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้น หรือถ้ากิจการของบริษัทมีกำไรดี เขาก็จะจ่ายปันผลน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะเงินอยู่กับบริษัทที่เขาควบคุมนั้น ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 4 พฤศจิกายน 66
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เดือนตุลาคม 2566 เพียงเดือนเดียว หุ้นไทยตกลงไปประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ และนับจากต้นปี ดัชนีหุ้นไทยตกลงมาแล้วถึงประมาณ 15% และถ้าจนถึงสิ้นปีหุ้นยังไม่ดีขึ้น ปี 2566 จะเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดนับจากปี 2551 หรือ 15 ปีมาแล้วที่หุ้นไทยตกลงมาหนักถึง 47.5% เนื่องจากวิกฤติซับไพร์ม และเป็นตลาดหุ้นที่ “ตกหนักที่สุดในโลก” ในปีนี้ ซึ่งก็พูดได้ว่าเรากำลังอยู่ใน
“ตลาดหมี”
ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามนั้น ตั้งแต่ต้นปีจนถึงต้นเดือนกันยายน 2566 หรือเพียงประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา ปรับตัวขึ้นถึงประมาณ 24% เปอร์เซ็นต์ตามดัชนีตลาดหุ้นโลกที่ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น ซึ่งก็ทำให้พอร์ตหุ้นเวียตนามของผมเติบโตขึ้นมาก และก็สามารถ “ชดเชย” การตกลงมาของหุ้นไทยได้ทั้งหมดและทำให้พอร์ตโดยรวมของผมยังมีกำไรเล็กน้อยแม้ว่าพอร์ตหุ้นไทยที่ใหญ่กว่ามากจะขาดทุน
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น ดัชนีตลาดหุ้นทั้งโลกก็เริ่มตกลงมาอย่างแรง หุ้นเวียตนามซึ่งมักจะตามตลาดหุ้นระดับโลกก็ตกลงมาอย่างแรงเช่นเดียวกัน คือลบถึง 16.3% ตั้งแต่เดือนกันยายนถึงสิ้นตุลาคมและกลายเป็นเดือนที่ “เลือดนองตลาดหุ้น” ทั่วโลก ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามที่เคยทำได้โดดเด่นมากนั้นลดลงมามากและถ้านับจากต้นปีก็เหลือกำไรแค่ 7-8% หุ้น “VI” ที่เคยโดดเด่นมาตั้งแต่ต้นปีหลายตัวตอนนี้ขาดทุนอย่างหนัก
ผลก็คือ พอร์ตหุ้นโดยรวมของผมตกลงมาจนไม่เหลือกำไรแล้วนับจากต้นปีถึงวันนี้ และก็ไม่รู้ว่าถึงสิ้นปี ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 28 ตุลาคม 66
ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การลงทุนในหุ้น Top-Ten หรือหุ้นใหญ่ที่สุด 10 ตัวในตลาดแล้วถือไว้ยาวนาน 10-20 ปี โดยไม่ทำอะไรเลยยกเว้นเมื่อได้รับปันผลก็จะนำเงินนั้นกลับไปลงทุนในหุ้นตัวเดิมไปเรื่อย ๆ น่าจะเป็นกลยุทธการลงทุนที่ดีมาก อย่างน้อยก็น่าจะดีไม่แพ้การลงทุนในดัชนีตลาดหุ้น และนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยย้อนหลังไป 20 ปี อย่างที่ผมเขียนไว้ในบทความก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ ถ้าคิดจะลงทุนหุ้นแนว “Top-Ten” ผมคิดว่าเราควรจะต้องดัดแปลงให้เหมาะสมกับสถานการณ์และปรับปรุงแนวทางให้ดีขึ้นหลังจากเห็นผลที่เกิดขึ้นแล้ว เหตุผลก็เพราะว่า ข้อแรก เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยผ่านยุคที่เติบโตหรือรุ่งเรืองไปแล้ว การลงทุนแนว “กึ่ง Passive” ในตลาดหุ้นไทยอาจจะไม่ได้ผลดี และข้อสอง เราพบว่าหุ้นบางกลุ่ม เช่น หุ้นที่เป็นแนวโภคภัณฑ์ที่อยู่ใน Top-Ten ให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีในระยะยาวโดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจของประเทศเติบโตขึ้นและการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ลดความสำคัญลงไปเรื่อย ๆ
ความคิดของผมก็คือ เราควรเลือกตลาดหุ้นใหม่ที่กำลังเติบโตเร็ว นั่นก็คือ ตลาดหุ้นเวียดนาม และแทนที่จะเลือกหุ้นใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน 10 ตัว เราควรเลือกหุ้นที่จะ “ใหญ่ที่สุดในอนาคต 10 ตัว” หรือจะเรียกว่า ลงทุนในหุ้น “Future Top-Ten” โดยที่เมื่อเลือกแล้ว เราก็จะถือหุ้นไว้ 10 ปี...
ผ่านไปแล้วกับทริปสัมมนา VVI HCMC 2023ขอบคุณเพื่อนนักลงทุนทุกท่านที่ทำให้ทริปสัมมนาผ่านไปได้ด้วยดี
Special thanks to the fund and equity companies
Dragon CapitalVietcapPYN EliteVinaCapitalLumen Vietnam Fund
Special thanks to the Vietnamese companies
MobileWorldFPT University สำหรับการต้อนรับ Company Visit และการแสดงPNJMasan GroupDat Xanh GroupVNPAY KaravanTVS Thien Viet SecuritiesConCungVMCGSoundton Energy Vietnam
ขอบคุณบริษัทไทยในเวียดนาม
CP VietnamCentral Retail VietnamPYI Consulting VietnamBangkok Bank VietnamAmazon Cafe Vietnam
ขอบคุณ Speaker ไทยในเวียดนาม
พี่แจ๊ค วิศวกร ปันยารชุน นักลงทุน 14 ปีในตลาดหุ้นเวียดนามคุณภาวิน ศรีอัศวกุล Founder of Karavanคุณปฐม ยงวณิชย์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน M&A, Founder of...
เวียดนามกําลังทํางานอย่างหนักเพื่อให้ตลาดหุ้นได้รับการอัพเกรดจากสถานะชายขอบเป็นตลาดเกิดใหม่ภายในปี 2568 เทียบชั้นไทย
การอัพเกรดตลาดหุ้นคาดว่าจะช่วยให้เวียดนามดึงดูดเงินทุนจากต่างประเทศได้มากขึ้น Vũ Thị Chân Phương ประธานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์ของรัฐเวียดนาม (SSC) กล่าวว่าการอัพเกรดสถานะของตลาดหุ้นเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของรัฐบาล ประเทศหวังว่าจะได้รับสถานะตลาดเกิดใหม่ก่อนปี 2025
ตาม Phương ในแง่ของกรอบกฎหมาย กฎหมายหลักทรัพย์ปี 2019 กฎหมายการลงทุนปี2020 กฎหมายว่าด้วยวิสาหกิจปี 2020 และเอกสารที่ชี้นําการบังคับใช้ได้สร้างเงื่อนไขที่เหมาะสมสําหรับกระแสการลงทุน อํานวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ ตลอดจนการลงทะเบียนและการเปิดบัญชีของนักลงทุน และเพิ่มความโปร่งใสของตลาด ตรงตามเกณฑ์สําหรับการอัพเกรดตลาด
นอกเหนือจากการเติบโตในแง่ของขนาดและสภาพคล่องแล้ว ตลาดหุ้นของเวียดนามยังมีความโปร่งใสมากขึ้นธุรกิจจํานวนหนึ่งได้เปิดเผยข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษในเชิงรุก ในหมู่พวกเขา ทุกคนในกลุ่มดัชนี VN30 ซึ่งวัดหุ้นที่ใหญ่ที่สุด 30 ตัวตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ได้เปิดเผยข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ
กฎระเบียบที่โปร่งใสช่วยปรับปรุงความเป็นไปได้ของตลาด ดังที่เห็นในพระราชกฤษฎีกาของรัฐบาล SSC จะแก้ไขเอกสารทางกฎหมายเพื่อปรับปรุงความโปร่งใสและความยั่งยืนของตลาดหุ้น Phương กล่าว
Lyndon Chao ตัวแทนของ Asia Securities Industry and Financial Markets Association (ASIFMA) กล่าวว่าเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย โดยมีการเติบโตที่เร็วที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการกระจายห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกและชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น
เขากล่าวว่านักลงทุนทั่วโลกกําลังเพิ่มการลงทุนในเอเชีย และเวียดนามจะเป็นจุดหมายปลายทางที่โดดเด่นในอนาคต เนื่องจากทางการได้ปฏิรูปตลาดเพื่อให้เข้าถึงผู้จัดการกองทุนระดับโลกได้ง่ายขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินได้ชี้ให้เห็นว่า MSCI และ FTSE Russell ซึ่งเป็นสององค์กรระหว่างประเทศที่สําคัญที่สุดในการจัดประเภทตลาดหุ้น ยังคงระบุว่าเวียดนามเป็นตลาดชายแดน ในขณะเดียวกัน ประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ถูกกําหนดให้เป็นตลาดเกิดใหม่มาหลายปีแล้ว
นักลงทุนต่างชาติจํานวนมากเห็นมูลค่าในตลาดหุ้นของเวียดนามและต้องการลงทุนในอนาคตที่นี่ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า สิ่งที่ประเทศต้องทําตอนนี้คือส่งเสริมความโปร่งใสของตลาดและให้เงื่อนไขที่เอื้ออํานวยต่อนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น
หาก MSCI และ FTSE Russell ยกระดับตลาดหุ้นของเวียดนามเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ คาดว่าเงินหลายพันล้านดอลลาร์จะหลั่งไหลเข้าสู่หุ้นเวียดนามในแต่ละปี
จากข้อมูลของหน่วยงานจัดอันดับระหว่างประเทศรายใหญ่และสถาบันการเงิน ประเทศได้ทําการปรับปรุงและเป็นไปตามเกณฑ์ที่สําคัญหลายประการ อย่างไรก็ตาม สองประเด็นยังคงต้องการการปรับปรุงที่สําคัญในการสนับสนุนนักลงทุนต่างชาติ การปรับปรุงดังกล่าวรวมถึงข้อกําหนดการระดมทุนล่วงหน้าและขีดจํากัดความเป็นเจ้าของจากต่างประเทศ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จําเป็นต้องมีการประสานงานในทางปฏิบัติระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ธนาคารแห่งรัฐเวียดนาม และกระทรวงการวางแผนและการลงทุน
ผู้เชี่ยวชาญยังเน้นย้ําถึงความสําคัญของบริษัทหลักทรัพย์และธนาคาร โดยกล่าวว่าการอัปเกรดจะช่วยขยายขนาดตลาดได้อย่างมาก ดังนั้นระบบปฏิบัติการและกระบวนการจัดการความเสี่ยงจึงต้องเป็นอันดับต้น ๆ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกําหนดที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรม
นอกจากนี้ SSC ควรกดดันด้วยการทําให้ระบบไอทีใหม่สําหรับตลาดหุ้นสมบูรณ์แบบ กระจายและปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในตลาดเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตสีเขียวและการพัฒนาที่ยั่งยืน
VVI Membership
ดูรายละเอียดและสมัครได้ที่https://class.vietnamvi.com/
หรือ ติดตามเราได้ที่
– Line :@vietnamvi คลิกhttps://lin.ee/Jy9n680
– website: https://www.vietnamvi.com
– facebook: https://www.facebook.com/vvinvestor
– Youtube:http://youtube.com/c/vietnamvi
– E-mail: info@vietnamvi.com