หน้าแรก แท็ก ดร.นิเวศน์

แท็ก: ดร.นิเวศน์

ผมยังคงไป ลงทุนในเวียดนาม แน่นอน…..เล่นหุ้นกระจุก VS ลงทุนกระจาย…

0
โลกในมุมมองของ Value Investor       7 กันยายน 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เล่นหุ้นกระจุก VS ลงทุนกระจาย ​คำถามสำคัญข้อหนึ่งที่นักลงทุนทุกคนจะต้องตอบให้ได้ ก่อนที่จะเริ่มต้นเข้ามาลงทุนอย่างจริงจังก็คือ  เราจะลงทุนในทรัพย์สินประเภทไหน และอย่างละประมาณเท่าไร?  นี่คือคำถามสำคัญ ข้อแรกที่จะบอกว่าเราจะมีความเสี่ยงแค่ไหน   ​โดยหลักการแล้ว  ถ้าเราลงทุนในทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวหรือน้อยอย่าง  เช่น  ลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว  ความเสี่ยงก็จะสูงกว่าการลงทุนในหุ้นบวกกับพันธบัตร  เป็นต้น  แต่ในขณะเดียวกัน โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนก็อาจจะสูงกว่าด้วย  สำหรับผมซึ่งเติบโตมาด้วยหุ้นและคิดว่าสามารถเลือกหุ้นลงทุนที่ปลอดภัยพอสมควร  ผมเลือกที่จะลงทุนในหุ้นแทบจะอย่างเดียว  ทรัพย์สินอื่นที่มีรวมทั้งหมดน่าจะไม่เกิน 5% ของความมั่งคั่งทั้งหมด  นี่ไม่นับเงินสดที่บางครั้งก็มีมาก...

ผมก็ กระจายการลงทุน บางส่วนไปประเทศที่ยังไม่แก่เหมือนเมืองไทยเมื่อ20 ปีที่แล้ว

0
สังคมคนแก่กับการลงทุน โลกในมุมมองของValue Investor  31 สิงหาคม62 ดร.นิเวศน์เหมวชิรวรากร ในฐานะของVI ที่เน้นการลงทุนระยะยาวนั้น สิ่งที่ผมจะต้องวิเคราะห์ก็คือภาพของประเทศ ผู้คน ภาวะทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ในตลาดหุ้นที่ผมจะลงทุนว่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต สิ่งที่ผมจะต้องดูเป็นพิเศษก็คือ เศรษฐกิจจะโตขึ้นมากน้อยแค่ไหน บริษัทจะมีรายได้และกำไรมากขึ้นเท่าไรและบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมไหนจะดี และกลุ่มไหนจะแย่ในอีกซัก10 ปีข้างหน้าและต่อจากนั้น สำหรับประเทศไทยและตลาดหุ้นไทยนั้น ช่วงที่ผมเริ่มลงทุน ในตลาดเต็มตัวเมื่อกว่า20 ปีโดยเฉพาะหลังภาวะวิกฤติเศรษฐกิจปี2540 นั้น ผมไม่ได้กังวลกับ“ภาพใหญ่” ของประเทศไทยเลยทั้งๆ ที่ดูเหมือนว่าประเทศไทย “กำลังล่มสลาย” และไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ในยามที่เกือบทุกบริษัทมีหนี้สินล้นพ้นตัวและกำลังจะล้มละลาย เหตุผลคงเป็นเพราะว่าเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำลงมาอย่างหนักและการส่งออกสินค้าที่ถดถอยลงอย่างแรงผ่านไป มันก็เริ่มฟื้นตัวอย่างแรง การผลิตถูกขับเคลื่อนโดยการลงทุนสร้างโรงงานก่อนหน้านั้น บวกกับกำลังแรงงานที่มีเหลือเฟือและค่าแรงต่ำซึ่งทำให้การส่งออกของไทยมีความได้เปรียบในตลาดโลกและอานิสงค์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงไปมาก บวกกับความต้องการบริโภคของคนในประเทศที่กำลังพุ่งขึ้นอานิสงค์จากรายได้ที่สูงขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่ลดต่ำลงมากซึ่งทำให้คนชั้นกลางที่ไม่เคยเป็นหนี้หรือมีหนี้น้อยสามารถกู้เงินใช้จ่ายได้สูงกว่าปกติมาก ผลก็คือ เศรษฐกิจกลับมาเติบโตค่อนข้างแรงและบริษัทโดยเฉพาะที่เน้นการขายสินค้าแก่ผู้บริโภคภายในประเทศเติบโตขึ้นมหาศาล บริษัทเหล่านี้กลายเป็นหุ้นจดทะเบียนที่นำให้ดัชนีตลาดหุ้นเติบโตต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ แต่5-6 ปีที่ผ่านมานั้น ดูเหมือนว่าทุกๆ อย่างที่พูดถึงนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงไป คนกลุ่มใหญ่มากในสังคมกลุ่มหนึ่งที่เกิดในยุคเบบี้บูมซึ่งรวมถึงผมเองนั้นเริ่มถึงเวลาเกษียณอายุคือ60 ปี ถ้าผมจำไม่ผิด เด็กที่เกิดในช่วงเวลานั้นน่าจะมีเกือบล้านคนต่อปีโดยเฉลี่ย เพื่อนๆรุ่นเดียวกับผมนั้นมักจะมีพี่น้องประมาณ5-6 คน ผมซึ่งมีพี่น้องเพียง3 คนนั้นถือว่าน้อยมาก ดังนั้น การที่พวกเขาบางคนเกษียณอายุจึงทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจชะลอตัวลงแม้ว่าจะมีคนรุ่นใหม่เติบโตขึ้นมาแทนที่ อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่ที่เกิดและจะเกิดมาแทนที่นั้น กำลังลดลงอย่างแรง จากปีหนึ่งเกิดล้านคนก็ลดลงเหลือปีละ700,000 คนและคงจะลดลงไปเรื่อยๆ อีกนาน ครอบครัวของคนไทยรุ่นใหม่นั้นมักจะต้องการมีลูกน้อยมาก เฉลี่ยประมาณ1.5 คนจำนวนมากบอกว่าไม่ต้องการมีลูกเลย ทั้งหมดนี้ทำให้ตัวเลขคนไทยที่เป็นแรงงานหรือทำงานนั้นเพิ่มขึ้นน้อยลงเรื่อยๆ และภายใน10 ปีก็จะลดลง ไทยกำลังเข้าสู่ภาวะสังคมคนแก่แบบสมบูรณ์เหมือนอย่างที่ญี่ปุ่นเป็นมากว่า10-20 ปีแล้ว ใน“สังคมคนแก่” อย่างที่ญี่ปุ่นหรืออีกหลายประเทศเป็นนั้น สิ่งที่เห็นก็คือ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมักจะถดถอยลงอย่างช้าๆ แต่ต่อเนื่องเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นน่าจะแทบไม่โตเลยเป็นเวลาน่าจะเกิน20 ปีแล้ว เหตุผลนั้นชัดเจนเพราะว่าคนน้อยลงก็น่าจะผลิตน้อยลง เช่นเดียวกับที่คนแก่ตัวลงก็มักจะไม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตได้มากนัก บางทีแค่ประคองให้มีประสิทธิภาพเท่าเดิมก็ทำได้ยากแล้ว ดังนั้น สำหรับไทยเอง ผมคิดว่าเราอาจจะไม่สามารถเติบโตทางเศรษฐกิจได้เร็วอย่างที่เคยเป็นมาอีกต่อไปแล้ว ห้าถึงหกปีที่ผ่านมาที่เราโตแค่3-4% ต่อปีโดยเฉลี่ยน่าจะเป็นสัญญาณว่าสังคมเราเริ่มแก่ตัวลง มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกหรือปัญหาการเมืองหรืออะไรในประเทศไทยเลยก็ได้ และเมื่อเศรษฐกิจโตช้าลง—ในระยะยาว  ตลาดหุ้นซึ่งเป็นตัวสะท้อนภาวะเศรษฐกิจเองนั้นก็มักจะเติบโตช้าตามกันไป ตัวอย่างจากญี่ปุ่นก็เห็นได้ชัดว่าดัชนีตลาดหุ้นนิเกอินั้น Sideway มาเป็นสิบๆปีและอยู่ที่ประมาณ20,000 จุดในช่วงเร็วๆ นี้และไม่เคยขึ้นไปแตะที่จุดสูงสุดตลอดกาลที่38,000 จุดที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ30 ปีมาแล้ว ดังนั้น สำหรับตลาดหุ้นไทยเอง ผมคิดว่าเราคงจะหวังให้ดัชนีตลาดหุ้นเติบโตสูงแบบเดิมคงเป็นไปได้ยาก เรื่องของการลงทุนโดยเฉพาะการสร้างโรงงานผลิตสินค้านั้น ผมก็คิดว่าจะมีน้อยลงไปเรื่อยๆ ในระยะยาว เหตุผลก็คือ โรงงานโดยเฉพาะในประเทศไทยที่ไม่ได้มีเทคโนโลยีสูงนั้น จำเป็นต้องใช้คนมากและจะต้องมีค่าแรงต่ำเพื่อที่จะสามารถแข่งขันได้ แต่นี่คือสิ่งที่เราขาด ดังนั้น คนที่คิดว่าเราจะมีการขยายตัวของการลงทุนเพื่อการผลิตมากขึ้นและธุรกิจที่เกี่ยวข้องเช่น การผลิตสินค้าและนิคมอุตสาหกรรมจะเติบโตมากนั้นผมคิดว่าจะต้องคิดใหม่ จริงอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น การลงทุนก็อาจจะมากขึ้นได้ แต่ในระยะยาวแล้ว มันคงไปไม่ไหว ไทยไม่น่าจะสามารถเติบโตทางด้านการผลิตได้เร็วและมากอีกต่อไป  ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการน่าจะเป็นทางออกสำหรับสังคมที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ใช่ทุกภาคส่วน จำนวนคนที่เกิดน้อยลงมากในช่วงก่อนหน้านี้จนถึงขณะนี้ก็ส่งผลอย่างเห็นได้ชัดแล้วเช่นเรื่องของการศึกษา ซึ่งเราได้เห็นการปิดตัวของโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงระดับมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง ที่ยังไม่ปิดก็อยู่อย่างยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ และน่าจะถึงจุดใกล้วิกฤติโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชน  โชคดีที่การท่องเที่ยวของไทยนั้นเติบโตดีอานิสงค์จากการท่องเที่ยวของคนจีนและอินเดียที่อยู่ใกล้ ทำให้ภาคการท่องเที่ยวจะเป็นภาคที่เติบโตเพื่อที่จะรองรับสังคมของคนที่แก่ตัวมากขึ้น นี่ก็คงคล้ายๆกับญี่ปุ่นที่ขณะนี้ต้องอาศัยการท่องเที่ยวมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของตนจากที่ในอดีตนั้นค่อนข้าง“ปิด”  ไม่ยอมให้ใครเข้าไป “วุ่นวาย” ในประเทศ อสังหาริมทรัพย์จะเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่โตอีกต่อไปในยามที่จำนวนคนเพิ่มน้อยหรือลดลง ความต้องการที่ลดลงบวกกับ“สต็อก” ของบ้านที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากบ้านนั้นสร้างเสร็จแล้วก็สามารถอยู่ได้เป็นหลายๆ สิบปี ดังนั้น ถ้าเราเห็นอสังหาริมทรัพย์ซบเซาลงช่วงนี้ก็อย่าไปหวังว่ามันจะ“ฟื้นขึ้นแรง” ในปีต่อๆ ไป มันอาจจะถึงจุดที่ค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ ตลอดไปแล้วก็ได้ และนี่ก็อาจจะรวมไปถึงห้างร้านและช็อปปิ้งมอลทั้งหลายที่ต้องอาศัยคนเข้าไปจับจ่ายซื้อสินค้า ซึ่งถ้าคนที่มีเงินและพร้อมจับจ่ายสินค้ามีน้อยลงเพราะคนแก่ตัวลงและคนเกิดใหม่มีน้อยลง การเติบโตของร้านค้าเหล่านั้นก็จะถึงจุดที่ค่อยๆ ลดลงตลอดไป แน่นอนว่าคนที่เข้าห้างบางส่วนก็อาจจะเป็นนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น แต่ที่จะสามารถทดแทนคนในประเทศเองนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  อาจจะยกเว้นก็คือร้านค้าที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จริงๆที่อาจจะยังอยู่ไปได้เรื่อยๆ ตราบที่การท่องเที่ยวของเรายังดีอยู่  เรื่องของInnovation หรือการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ หรือความคิดใหม่ๆ ต่างๆ ที่เราเชื่อกันว่าจะเป็นสิ่งที่นำเราให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไปในทางเศรษฐกิจเองนั้น ผมก็คิดว่าทำได้ไม่ง่ายเนื่องจากจำนวนคนรุ่นหนุ่มสาวที่จะเป็นผู้นำทางด้านการคิดค้นและทำธุรกิจStartup มีน้อยลง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าอาจจะเป็นเรื่องของวัฒนธรรมของสังคมที่ยังถูกครอบงำโดยความคิดของคนรุ่นก่อนที่มีจำนวนมากและยังเป็นผู้นำทางสังคมและการเมืองอยู่ ซึ่งทำให้สังคมไทยยังเป็นสังคมอนุรักษ์นิยมสูง คนไม่ค่อยกล้าที่จะคิดนอกกรอบในขณะที่ขนบธรรมเนียมดั้งเดิมจะได้รับการส่งเสริม ผลก็คือ ความคิดสร้างสรรค์และความกล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นน้อย และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เรายังไม่มีสตาร์ทอัพที่เป็น“ยูนิคอร์น” เลย ทั้งๆที่ระดับการพัฒนาและขนาดเศรษฐกิจของไทยนั้นอยู่เหนือกว่าอีกหลายๆ ประเทศหลักในอาเซียน และนี่ก็ทำให้ผมนึกถึงญี่ปุ่นที่ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ มานานมากหลังจากยุค“วอล์คแมน” ของโซนี่ทั้งๆที่เป็นประเทศยิ่งใหญ่อันดับ2 และ3 ของโลกมานาน ทั้งหมดนั้นก็คือปัญหาของความแก่ซึ่งผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะแก้ได้อย่างไร ในด้านของส่วนตัวเองนั้น สิ่งที่ทำก็คือการพยายามรักษาสุขภาพและหาวิธี“ลดอายุ”  ในส่วนของการลงทุนเองนั้น ผมก็กระจายการลงทุนบางส่วนไปประเทศที่ยังไม่แก่และอยู่ในวัยฉกรรจ์และกำลังเติบโตเหมือนเมืองไทยเมื่อ20 ปีที่แล้ว   ..... ————————————- สนใจ กระจายการลงทุน บางส่วนไปประเทศที่ยังไม่แก่และอยู่ในวัยฉกรรจ์และกำลังเติบโตเหมือนเมืองไทยเมื่อ20 ปีที่แล้ว    อ่านต่อ นักลงทุนสนใจหุ้นกลุ่มไหนในประเทศเวียดนาม เศรษฐกิจเวียดนามดีฝ่าปัจจัยบาทแข็งไหวไหม ทริปสัมมนา TOUR LEARN EARN MORE IN HO CHI MINH

คนที่ “จับจังหวะ” ว่าจะเข้าซื้อหุ้นเมื่อราคาหุ้นหรือดัชนีลดลงมานั้น บ่อยครั้งก็มักพลาด คือเข้าไปซื้อหุ้น “เร็วเกินไป”

0
โลกในมุมมองของ Value Investor       28 กรกฎาคม 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร The Postman Always Ring Twice ​ปรากฏการณ์ที่หุ้น  “นางฟ้า”  ขนาดเล็ก-กลาง ที่เคยร้อนแรงราคาพุ่งขึ้นเป็นหลาย ๆ  เท่าตัวในเวลาไม่นานแต่แล้วก็ตกลงมาอย่างหนักเกินกว่า 50% หรือบางตัวกลับมาที่ราคาเดิมและกลายเป็น  “นางฟ้าตกสวรรค์”  จนคนหลายคน “เลิกเล่น” หรือ “สาปส่ง” ไปเลยทำให้หุ้นเหงาไปพักใหญ่  แต่แล้วในช่วงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์มานี้ หุ้นหลายตัวในกลุ่มก็เริ่มกลับมาคึกคักใหม่  ราคาปรับตัวขึ้นอย่างแรงพร้อมกับปริมาณซื้อขายที่คึกคัก  ดูเหมือนว่าคนที่เคยเล่นทั้ง “ขาเล็ก” และ “ขาใหญ่” กำลังกลับมา  สตอรี่และการเติบโตของบริษัทที่เคยขายได้ในช่วงก่อนหน้านั้นที่ถูกทำลายโดยผลประกอบการที่น่าผิดหวังกำลังถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่  ประกอบกับผลประกอบการที่น่าจะ “ดีขึ้น” ในไตรมาศล่าสุด  น่าจะเป็นแรงกระตุ้นที่อาจจะทำให้หุ้นกลับมาเป็น  “นางฟ้า” ใหม่  ทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้ Background ของตลาดหุ้นที่ดีขึ้น  ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้น  และนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้าตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งที่รอคอยกันมานาน ​นั่นทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เคยดูตอนไปเรียนที่อเมริกาใหม่...

หุ้นโรงไฟฟ้า ซึ่งในระยะหลัง ๆ นี้ก็กลายเป็นกลุ่มหุ้นที่มีความโดดเด่นมากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลก็คงเป็นเพราะว่าราคาของหุ้นกลุ่มนี้มีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วจนแทบจะกลายเป็น “หุ้นนางฟ้า”

0
หุ้นโรงไฟฟ้า ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร โลกในมุมมองของ Value Investor       ​ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้  หุ้นที่มีจำนวนมากขึ้นและมี Market Cap. ขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ไทยก็คือหุ้นที่ผลิตไฟฟ้าจำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าและผู้ใช้ทั้งในและต่างประเทศ  ผมจะเรียกง่าย...

Libra: เงินใหม่ในฝัน

0
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร การประกาศของ Facebook ที่จะสร้างเงินดิจิตอลชื่อ Libra และนำออกใช้ในต้นปีหน้านั้นเป็นเรื่องที่ทำให้โลก “ตะลึง”  คนจำนวนมากเชื่อว่า Libra จะประสบความสำเร็จและจะเป็นการ “ปฏิวัติโลกการเงิน” ที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง  จริงอยู่ว่าคนตะลึงมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ Bitcoin ซึ่งเป็นเงินดิจิตอลรุ่นแรกที่สร้างขึ้นโดยคนที่ชื่อ “ซาโตชิ นากาโมโต” ถูก “ปั่น” ขึ้นมาจนมีราคาสูงมโหฬารซึ่งทำให้คนสนใจเข้ามาเรียนรู้ศึกษากันทั่วโลก  คนจำนวนมากคิดว่าในที่สุด Bitcoin จะกลายเป็นเงินสกุลใหม่ที่จะมีการใช้กันอย่างแพร่หลายเพราะมันสามารถลดต้นทุนในการดำเนินการเช่นการโอนเงินผ่านระบบอินเตอร์เน็ตโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางที่มีต้นทุนสูงเช่นระบบแบ้งค์...

ลงทุนในหุ้นตลอดชีวิต

0
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนทบต้นนั้น  ไอน์สไตน์(อีกแระ) บอกว่าเป็น “สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก” เพราะเมื่อเงินทองหรือหุ้นให้ผลตอบแทนเป็นบวกในปีนี้  ถ้าเราเอาผลตอบแทนที่ได้ไปทบกับเงินต้นในตอนต้นปี  ปีหน้าเงินต้นก็จะเพิ่มขึ้น  เช่น  ถ้าผลตอบแทนเท่ากับ 10% ต่อปี  เงินต้นของปีต่อไปก็กลายเป็น 110 บาทจากเดิม 100 บาท  และถ้าเราได้ผลตอบแทนปีที่สองอีก 10%  จากเงินต้น 110...

กลับไปทำงานประจำ

0
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร หลาย ๆ  ปีก่อนในช่วงที่ตลาดหุ้นยังปรับตัวขึ้นเป็น “กระทิง” ต่อเนื่องยาวนานนั้น  เรามักพบนักลงทุนโดยเฉพาะที่ยังหนุ่มแน่นอายุไม่มากเช่น 30-40 ปีหลาย ๆ  คนลาออกจากงานประจำและหันมาลงทุนเต็มตัว  บางคนมีเงินก้อนหนึ่งอาจจะแค่ 2-3 ล้านบาทซึ่งเขา “คิด” ว่าสามารถทำเงินแต่ละเดือนจากการเล่นหุ้นได้ 40,000-50,000 บาท ซึ่งมากพอที่จะ “เลี้ยงชีพ” ได้  ดังนั้นเขาจึงลาออกจากงานประจำเงินเดือนน้อยนิดและน่าเบื่อเพื่อเน้นเล่นหุ้นที่จะ “ได้กำไรดีขึ้น”...

ลงทุนในยุคเศรษฐกิจโตช้า

0
โลกในมุมมองของ Value Investor 1 มิถุนายน 62 ลงทุนในยุคเศรษฐกิจโตช้า ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร มองย้อนหลังไปประมาณ 6 ปี ในช่วงกลางปี 2556  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 1,600 จุด  แทบจะไม่ต่างจากดัชนีวันนี้ที่ประมาณ 1,620 จุด นี่คือช่วงเวลา 6 ปีที่น่าจะพูดได้ว่าตลาดหุ้นเป็น Sideway คือราคาหุ้นโดยรวมไม่ได้ปรับตัวขึ้นหรือลดลงเป็นเรื่องเป็นราวเป็นระยะเวลายาวนาน  สำหรับนักลงทุนที่มักจะมองภาพเล็กในหุ้นรายตัวหรืออาจจะเป็นกลุ่มและเป็นนักลงทุนระยะยาวก็จะเห็นว่าหุ้นตัวหลัก...

บทเรียนเมื่อฟองสบู่หุ้นแตก

0
บทเรียนเมื่อฟองสบู่หุ้นแตก ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร หลังการประกาศผลประกอบการไตรมาศ 1 ปี 2562 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  หุ้นขนาดเล็ก-กลางหลายตัวที่เป็นหรือเคยเป็นหุ้น “ยอดนิยม” ได้ตกลงมาแรงทั้ง ๆ  ที่บางตัวได้ตกลงมามากแล้วในช่วง 1-2 ปีก่อนหน้านี้  อาการที่หุ้นตกลงมาหนักมากอย่างรวดเร็วและมักจะเกิน 50% ของจุดสูงสุดนั้น  ในแวดวงของนักลงทุนเราเรียกว่า  “ฟองสบู่หุ้นแตก” ซึ่งก็มักจะสร้างความเสียหายให้กับคนที่ถือหุ้นตัวนั้นมาก  บางครั้งกลายเป็นหายนะซึ่งเปลี่ยนชีวิตการลงทุนของเขาไปอย่างไม่คาดคิด...

อวสานของหุ้นโรงงาน

0
อวสานของหุ้นโรงงาน ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร       ธุรกิจโรงงานที่ผลิตสินค้าที่เป็นชิ้นส่วนหรือสินค้าสำเร็จรูปให้คนอื่นเพื่อนำไปประกอบเป็นสินค้าขั้นสุดท้ายหรือนำไปขายในยี่ห้อของคนจ้างที่เรียกว่าเป็น  OEM (Original Equipment Manufacturing) นั้น  ต้องถือว่าเป็นเครื่องจักรสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยมากว่า 30 ปี  เริ่มจากการที่ญี่ปุ่นต้อง “ย้ายฐานการผลิต” มายังประเทศไทยเนื่องจากต้นทุนการผลิตสินค้าในญี่ปุ่นสูงขึ้นมากอานิสงค์จากค่าเงินเยนที่ถูกบีบให้สูงขึ้นอย่างกระทันหันจากข้อตกลง Plaza Accord ในปี 1985 ที่ทำให้ค่าเงินเยนแข็งขึ้นถึง 50% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ...

MOST POPULAR