หน้าแรก แท็ก ดร.นิเวศน์

แท็ก: ดร.นิเวศน์

หุ้นร้าว. ในระบบเศรษฐกิจของไทยที่คนแก่ตัวลงและโตช้าลงมาก ดังนั้น หุ้นที่แพงจัดมาก ๆ ...

0
โลกในมุมมองของ Value Investor         16 พฤศจิกายน 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร หุ้นร้าว ​สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาของการประกาศงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่นักลงทุนต้อง  “ลุ้น”  กันว่าหุ้นที่ตนเองถืออยู่นั้นจะประกาศผลงานที่ดีขึ้นหรือแย่ลงมากน้อยแค่ไหน  เพราะผลงานที่ดีขึ้นโดยเฉพาะที่ดีเกินกว่าที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนคาดจะทำให้หุ้นวิ่งขึ้น  ในทางตรงกันข้าม  ผลงานที่น่าผิดหวังจะทำให้หุ้นตกลง  ในกรณีของหุ้นขนาดเล็กหรือหุ้นที่ไม่มีนักวิเคราะห์ติดตาม  กำไรที่ดีขึ้นก็มักจะเป็นสัญญาณให้นักเก็งกำไรหรือ “นักปั่นหุ้น” เข้าไปไล่ราคาเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับหุ้นที่ตนเองถือ  สำหรับ VI การติดตามผลประกอบการรายไตรมาศเป็นสิ่งสำคัญที่นอกจากจะช่วยให้เราวิเคราะห์หุ้นที่ตนเองถือต่อเนื่องแล้ว  ยังเป็นเวลาที่จะติดตามดูว่ามีหุ้นตัวไหนที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่น่าลงทุนหรือไม่ ​ไตรมาศ 3 ปี 2562 นี้ดูเหมือนว่าการประกาศงบการเงินจะมีผลกระทบกับหุ้นโดยเฉพาะขนาดกลางและเล็กหลาย ๆ ตัวที่เคยเป็นหุ้นเด่นและนักเล่นหุ้นนิยมเล่นกันมาก  หลังจากประกาศ   หุ้นเหล่านั้นก็ตกลงมาน่าจะประมาณ...

เล่นหุ้นตามรอบ

0
โลกในมุมมองของ Value Investor      10 พฤศจิกายน 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​สำหรับคนที่เกาะติดตลาดหุ้นและลงทุนหรือเล่นหุ้นตลอดเวลามานานหลาย ๆ  ปีและ “จำได้” ก็จะพบว่าผลตอบแทนการลงทุนและความนิยมของหุ้นกลุ่มต่าง ๆ นั้น  บ่อยครั้งก็จะมี “รอบ” ของมัน  ความหมายก็คือ  ในช่วงเวลาหนึ่งซึ่งมักจะเป็นเวลาเกินปีหรือบางครั้งก็หลายปี  จะมีหุ้นกลุ่มหนึ่งหรือบางทีมากกว่านั้นที่ผลตอบแทนหรือราคาหุ้นจะเติบโตโดดเด่นเป็นพิเศษ   ตอนเริ่มแรกก็อาจจะมีแค่หุ้นบางตัวในกลุ่มที่วิ่งขึ้นไปแรงมากด้วยเหตุผลต่าง ๆ  ซึ่งรวมถึงผลประกอบการที่เติบโตขึ้นมาก  และเรื่องราวหรือสตอรี่ของบริษัทที่สดใส  รายได้และ/หรือโครงการในอนาคตนั้นจะเพิ่มพูนขึ้นมากจากโครงการทั้งปัจจุบันและอนาคตที่มั่นคงอานิสงค์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เป็น“เมกาเทรนด์”  ประกอบกับความสามารถของบริษัทที่ได้มีการพิสูจน์แล้ว ต่อมาหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเดียวกันก็เริ่มวิ่งตามมา  เหตุผลก็แบบเดียวกันนั่นคือ  บริษัทก็มีกำไรที่ดี  มีโครงการใหม่ไม่น้อยไปกว่ากันเท่าไร...

จากแม่ชม้อยถึงแม่มณี

0
โลกในมุมมองของ Value Investor         2 พฤศจิกายน 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร จากแม่ชม้อยถึงแม่มณี แชร์ลูกโซ่ 4.0 ​การต้มตุ๋นทางการเงินจากประชาชนทั่วไปแบบ “แชร์ลูกโซ่” หรือในทางสากลเรียกว่า “Ponzi Scheme” นั้นน่าจะถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยและทำความเสียหายให้กับ “เหยื่อ” มากที่สุดในสังคมไทย  เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าแชร์ลูกโซ่นั้นมักถูกออกแบบและโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้เป็นเรื่องของ “การลงทุน” ที่ให้ผลตอบแทนดีมากและมีความเสี่ยงต่ำซึ่งจะดึงดูดให้คนทั่วไปสนใจเข้ามาลงทุน  โดยที่ธุรกิจหรือการลงทุนที่จะทำนั้นจะเป็นเรื่องที่กำลังโด่งดังอยู่ในกระแส เช่น ในช่วงปี 2520 และต่อมาอีกหลายปีนั้นก็เป็นเรื่องของวิกฤติน้ำมันที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นสูงมาก  การลงทุนในธุรกิจน้ำมันน่าจะให้ผลตอบแทนที่งดงาม  และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของ “แชร์แม่ชม้อย” ที่ถือว่าเป็นแชร์ลูกโซ่รายแรกของเมืองไทย   ​คำว่าผลตอบแทนที่ดีมากนั้น  ในความคิดของคนทั่วไปที่ไม่ได้มีเงินมากมายนักในประเทศไทยผมคิดว่าคงจะอยู่ที่ประมาณเดือนละ 5-10% และเป็นอัตรานี้มายาวนานแม้ว่าดอกเบี้ยที่เป็นทางการในท้องตลาดจะเปลี่ยนไปมาก  นี่เป็นตัวเลขที่ผมประเมินจากประสบการณ์ของตนเองตั้งแต่สมัยที่ทำงานในโรงงานขนาดใหญ่ในต่างจังหวัดเมื่อกว่า 40 ปีมาแล้วที่คนงานต้องจ่ายดอกเบี้ยประมาณเดือนละ 10% จากหนี้นอกระบบ  นอกจากนั้น  แชร์แม่ชม้อยที่เกิดขึ้นในปี 2520 ก็เสนอผลตอบแทนที่...

ดวงลงทุน

0
โลกในมุมมองของ Value Investor       12 ตุลาคม 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ดวงลงทุน ​จากประสบการณ์กว่า 20 ปีในตลาดหุ้น  ผมเองคิดว่าตนเองนั้น  “โชคดีมาก” ที่เข้าตลาดเริ่มลงทุนอย่างจริงจังและ  “เพื่อชีวิต”  นั่นคือทุ่มเทเงินทุกบาทลงทุนในหุ้น  ในเวลาที่ถูกต้องและด้วยกลยุทธ์ที่ถูกต้องนั่นคือ  ลงทุนแบบ “VI” ในยามที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ  ราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนักและแทบไม่มีใครสนใจจะลงทุนหรือพูดถึงตลาดหุ้นเลย  ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันเพียงไม่เกิน 3-4 พันล้านบาท  ผลที่ได้รับหลังจากเวลาผ่านไปกว่า 2 ทศวรรษก็คือ  ชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างมาก  ผลตอบแทนการลงทุนที่สูงจนแทบไม่น่าเชื่อทำให้กลายเป็นคนที่มีความมั่งคั่งสูงจากคนชั้นกลางกินเงินเดือนที่กำลังตกงานและไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องย้ายลูกจากโรงเรียนอินเตอร์ออกมาเรียนโรงเรียนไทยหรือไม่  ทั้งหมดนั้น  เป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดคิด  ไม่ได้เกิดจากการวางแผนรวยจากตลาดหุ้น...

หุ้น Consumer

0
โลกในมุมมองของ Value Investor           28 กันยายน 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร หุ้น Consumer ​ในระยะหลัง ๆ  นี้  หุ้นที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เริ่มที่จะมีหุ้นของบริษัทที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มียี่ห้อเป็นที่รู้จักของคนไทยมากขึ้น  หลาย ๆ ยี่ห้อเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาด  หุ้นบางตัวมี Market Cap. เกือบแสนล้านบาทหรือเคยมีขนาดเกือบแสนล้านบาทในช่วงสูงสุด  หลายตัวก็ยังเป็นหุ้นตัวเล็กที่มีขนาดแค่หลักพันล้านบาทหรือหมื่นล้านต้น ๆ  ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  นี่คือหุ้นที่นักลงทุนเริ่มสนใจเข้ามาลงทุน  เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งอาจจะเป็นว่าหุ้นเหล่านี้มักจะมีผลกำไรที่ดีและมั่นคงพอสมควรเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่น  การเติบโตหรือสตอรี่ที่จะเติบโตก็พอจะมีอยู่  ฐานะทางการเงินก็มักจะดีและมีหนี้ไม่มาก  หลายบริษัทไม่มีหนี้เลย  เหตุผลเพราะว่าบริษัทมักจะไม่ต้องลงทุนมากและขายสินค้าเป็นเงินสดหรือได้เงินเร็วในขณะที่จ่ายเงินให้เจ้าหนี้ช้ากว่า และสุดท้ายที่ทำให้หุ้นเหล่านี้บางตัว...

ปัจจัยกำหนดทิศทางตลาดหุ้นปีหน้า

0
โลกในมุมมองของ Value Investor       21 กันยายน 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปัจจัยกำหนดทิศทางตลาดหุ้นปีหน้า ​ช่วงเวลาใกล้สิ้นปีในแต่ละปี  นักลงทุน  “มืออาชีพ” ในตลาดหุ้นส่วนใหญ่แล้วก็มักจะพยายามคาดการณ์ทิศทางของตลาดหุ้นในปีหน้าว่าจะเป็นอย่างไรเพื่อที่จะกำหนดกลยุทธ์การลงทุนของตนเองว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีในปีหน้า  สื่อต่าง ๆ  เกี่ยวกับการลงทุนก็มักจะถาม  “กูรู” เพื่อที่จะเป็นแนวทางให้นักลงทุนทั่วไปในตลาดใช้สำหรับการลงทุน  ส่วนใหญ่แล้วนักวิเคราะห์ก็จะบอกว่าปีหน้าดัชนีตลาดหุ้นน่าจะขึ้น  ขึ้นมากหรือน้อยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  เพราะนักวิเคราะห์รวมถึงกูรูทั้งหลายนั้นต่างก็มักจะเป็นคนที่  “มองโลกในแง่ดี”  และอาจจะมีแรงจูงใจที่จะชวนให้คนเข้าซื้อหุ้นผ่านบริษัทของตนหรืออยากให้คนมาซื้อหุ้นซึ่งทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นเป็นผลดีต่อทุกคนที่อยู่ในแวดวงตลาดหุ้น  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ถ้ามองยาว ๆ  ย้อนไปในประวัติศาสตร์ก็จะพบว่าหุ้นมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ  และให้ผลตอบแทนซึ่งส่วนใหญ่มาจากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึงประมาณ 10% ต่อปีแบบทบต้น  ดังนั้น...

ลงทุนแบบเฮดจ์ฟันด์

0
โลกในมุมมองของ Value Investor     14 กันยายน 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​ผมมีเพื่อนนักลงทุนที่บริหารเฮดจ์ฟันด์คนหนึ่งชื่อ Petri  Deryngหรือที่ผมและเพื่อนนักลงทุน VI ไทยกลุ่มหนึ่งเรียกว่าเพตทรี  เขาบริหารกองทุนชื่อ PYN ELITE ซึ่งจดทะเบียนที่ฟินแลนด์ประเทศบ้านเกิดของเขา  แต่กองทุนอีลิทฟันด์นั้น  ตั้งแต่ตั้งกองทุนในปี 1999 ก็ลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก  เริ่มจากตลาดหุ้นไทยที่ลงทุนนานถึงประมาณ 13-14 ปี และตามมาด้วยจีนและเวียตนามและล่าสุดเหลือแต่ที่เวียตนามซึ่งเขาลงทุนมา 6-7 ปีแล้ว  ปีนี้เป็นปีครบรอบ 20 ปีของการก่อตั้งกองทุน  และก็เป็นปีแห่งการ “เฉลิมฉลอง” ความสำเร็จในระดับต้น ๆ ของกองทุนอีลิทเทียบกับกองทุนในฟินแลนด์และยุโรป  ผลงานการลงทุนนั้นสามารถทำได้ถึงประมาณ 18.2% ต่อปีแบบทบต้น หรือเท่ากับเงินลงทุนเริ่มต้นโตขึ้นถึงประมาณ...

ผมยังคงไป ลงทุนในเวียดนาม แน่นอน…..เล่นหุ้นกระจุก VS ลงทุนกระจาย…

0
โลกในมุมมองของ Value Investor       7 กันยายน 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เล่นหุ้นกระจุก VS ลงทุนกระจาย ​คำถามสำคัญข้อหนึ่งที่นักลงทุนทุกคนจะต้องตอบให้ได้ ก่อนที่จะเริ่มต้นเข้ามาลงทุนอย่างจริงจังก็คือ  เราจะลงทุนในทรัพย์สินประเภทไหน และอย่างละประมาณเท่าไร?  นี่คือคำถามสำคัญ ข้อแรกที่จะบอกว่าเราจะมีความเสี่ยงแค่ไหน   ​โดยหลักการแล้ว  ถ้าเราลงทุนในทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวหรือน้อยอย่าง  เช่น  ลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว  ความเสี่ยงก็จะสูงกว่าการลงทุนในหุ้นบวกกับพันธบัตร  เป็นต้น  แต่ในขณะเดียวกัน โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนก็อาจจะสูงกว่าด้วย  สำหรับผมซึ่งเติบโตมาด้วยหุ้นและคิดว่าสามารถเลือกหุ้นลงทุนที่ปลอดภัยพอสมควร  ผมเลือกที่จะลงทุนในหุ้นแทบจะอย่างเดียว  ทรัพย์สินอื่นที่มีรวมทั้งหมดน่าจะไม่เกิน 5% ของความมั่งคั่งทั้งหมด  นี่ไม่นับเงินสดที่บางครั้งก็มีมาก...

ผมก็ กระจายการลงทุน บางส่วนไปประเทศที่ยังไม่แก่เหมือนเมืองไทยเมื่อ20 ปีที่แล้ว

0
สังคมคนแก่กับการลงทุน โลกในมุมมองของValue Investor  31 สิงหาคม62 ดร.นิเวศน์เหมวชิรวรากร ในฐานะของVI ที่เน้นการลงทุนระยะยาวนั้น สิ่งที่ผมจะต้องวิเคราะห์ก็คือภาพของประเทศ ผู้คน ภาวะทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ในตลาดหุ้นที่ผมจะลงทุนว่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต สิ่งที่ผมจะต้องดูเป็นพิเศษก็คือ เศรษฐกิจจะโตขึ้นมากน้อยแค่ไหน บริษัทจะมีรายได้และกำไรมากขึ้นเท่าไรและบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมไหนจะดี และกลุ่มไหนจะแย่ในอีกซัก10 ปีข้างหน้าและต่อจากนั้น สำหรับประเทศไทยและตลาดหุ้นไทยนั้น ช่วงที่ผมเริ่มลงทุน ในตลาดเต็มตัวเมื่อกว่า20 ปีโดยเฉพาะหลังภาวะวิกฤติเศรษฐกิจปี2540 นั้น ผมไม่ได้กังวลกับ“ภาพใหญ่” ของประเทศไทยเลยทั้งๆ ที่ดูเหมือนว่าประเทศไทย “กำลังล่มสลาย” และไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ในยามที่เกือบทุกบริษัทมีหนี้สินล้นพ้นตัวและกำลังจะล้มละลาย เหตุผลคงเป็นเพราะว่าเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำลงมาอย่างหนักและการส่งออกสินค้าที่ถดถอยลงอย่างแรงผ่านไป มันก็เริ่มฟื้นตัวอย่างแรง การผลิตถูกขับเคลื่อนโดยการลงทุนสร้างโรงงานก่อนหน้านั้น บวกกับกำลังแรงงานที่มีเหลือเฟือและค่าแรงต่ำซึ่งทำให้การส่งออกของไทยมีความได้เปรียบในตลาดโลกและอานิสงค์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงไปมาก บวกกับความต้องการบริโภคของคนในประเทศที่กำลังพุ่งขึ้นอานิสงค์จากรายได้ที่สูงขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่ลดต่ำลงมากซึ่งทำให้คนชั้นกลางที่ไม่เคยเป็นหนี้หรือมีหนี้น้อยสามารถกู้เงินใช้จ่ายได้สูงกว่าปกติมาก ผลก็คือ เศรษฐกิจกลับมาเติบโตค่อนข้างแรงและบริษัทโดยเฉพาะที่เน้นการขายสินค้าแก่ผู้บริโภคภายในประเทศเติบโตขึ้นมหาศาล บริษัทเหล่านี้กลายเป็นหุ้นจดทะเบียนที่นำให้ดัชนีตลาดหุ้นเติบโตต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ แต่5-6 ปีที่ผ่านมานั้น ดูเหมือนว่าทุกๆ อย่างที่พูดถึงนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงไป คนกลุ่มใหญ่มากในสังคมกลุ่มหนึ่งที่เกิดในยุคเบบี้บูมซึ่งรวมถึงผมเองนั้นเริ่มถึงเวลาเกษียณอายุคือ60 ปี ถ้าผมจำไม่ผิด เด็กที่เกิดในช่วงเวลานั้นน่าจะมีเกือบล้านคนต่อปีโดยเฉลี่ย เพื่อนๆรุ่นเดียวกับผมนั้นมักจะมีพี่น้องประมาณ5-6 คน ผมซึ่งมีพี่น้องเพียง3 คนนั้นถือว่าน้อยมาก ดังนั้น การที่พวกเขาบางคนเกษียณอายุจึงทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจชะลอตัวลงแม้ว่าจะมีคนรุ่นใหม่เติบโตขึ้นมาแทนที่ อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่ที่เกิดและจะเกิดมาแทนที่นั้น กำลังลดลงอย่างแรง จากปีหนึ่งเกิดล้านคนก็ลดลงเหลือปีละ700,000 คนและคงจะลดลงไปเรื่อยๆ อีกนาน ครอบครัวของคนไทยรุ่นใหม่นั้นมักจะต้องการมีลูกน้อยมาก เฉลี่ยประมาณ1.5 คนจำนวนมากบอกว่าไม่ต้องการมีลูกเลย ทั้งหมดนี้ทำให้ตัวเลขคนไทยที่เป็นแรงงานหรือทำงานนั้นเพิ่มขึ้นน้อยลงเรื่อยๆ และภายใน10 ปีก็จะลดลง ไทยกำลังเข้าสู่ภาวะสังคมคนแก่แบบสมบูรณ์เหมือนอย่างที่ญี่ปุ่นเป็นมากว่า10-20 ปีแล้ว ใน“สังคมคนแก่” อย่างที่ญี่ปุ่นหรืออีกหลายประเทศเป็นนั้น สิ่งที่เห็นก็คือ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมักจะถดถอยลงอย่างช้าๆ แต่ต่อเนื่องเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นน่าจะแทบไม่โตเลยเป็นเวลาน่าจะเกิน20 ปีแล้ว เหตุผลนั้นชัดเจนเพราะว่าคนน้อยลงก็น่าจะผลิตน้อยลง เช่นเดียวกับที่คนแก่ตัวลงก็มักจะไม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตได้มากนัก บางทีแค่ประคองให้มีประสิทธิภาพเท่าเดิมก็ทำได้ยากแล้ว ดังนั้น สำหรับไทยเอง ผมคิดว่าเราอาจจะไม่สามารถเติบโตทางเศรษฐกิจได้เร็วอย่างที่เคยเป็นมาอีกต่อไปแล้ว ห้าถึงหกปีที่ผ่านมาที่เราโตแค่3-4% ต่อปีโดยเฉลี่ยน่าจะเป็นสัญญาณว่าสังคมเราเริ่มแก่ตัวลง มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกหรือปัญหาการเมืองหรืออะไรในประเทศไทยเลยก็ได้ และเมื่อเศรษฐกิจโตช้าลง—ในระยะยาว  ตลาดหุ้นซึ่งเป็นตัวสะท้อนภาวะเศรษฐกิจเองนั้นก็มักจะเติบโตช้าตามกันไป ตัวอย่างจากญี่ปุ่นก็เห็นได้ชัดว่าดัชนีตลาดหุ้นนิเกอินั้น Sideway มาเป็นสิบๆปีและอยู่ที่ประมาณ20,000 จุดในช่วงเร็วๆ นี้และไม่เคยขึ้นไปแตะที่จุดสูงสุดตลอดกาลที่38,000 จุดที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ30 ปีมาแล้ว ดังนั้น สำหรับตลาดหุ้นไทยเอง ผมคิดว่าเราคงจะหวังให้ดัชนีตลาดหุ้นเติบโตสูงแบบเดิมคงเป็นไปได้ยาก เรื่องของการลงทุนโดยเฉพาะการสร้างโรงงานผลิตสินค้านั้น ผมก็คิดว่าจะมีน้อยลงไปเรื่อยๆ ในระยะยาว เหตุผลก็คือ โรงงานโดยเฉพาะในประเทศไทยที่ไม่ได้มีเทคโนโลยีสูงนั้น จำเป็นต้องใช้คนมากและจะต้องมีค่าแรงต่ำเพื่อที่จะสามารถแข่งขันได้ แต่นี่คือสิ่งที่เราขาด ดังนั้น คนที่คิดว่าเราจะมีการขยายตัวของการลงทุนเพื่อการผลิตมากขึ้นและธุรกิจที่เกี่ยวข้องเช่น การผลิตสินค้าและนิคมอุตสาหกรรมจะเติบโตมากนั้นผมคิดว่าจะต้องคิดใหม่ จริงอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น การลงทุนก็อาจจะมากขึ้นได้ แต่ในระยะยาวแล้ว มันคงไปไม่ไหว ไทยไม่น่าจะสามารถเติบโตทางด้านการผลิตได้เร็วและมากอีกต่อไป  ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการน่าจะเป็นทางออกสำหรับสังคมที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ใช่ทุกภาคส่วน จำนวนคนที่เกิดน้อยลงมากในช่วงก่อนหน้านี้จนถึงขณะนี้ก็ส่งผลอย่างเห็นได้ชัดแล้วเช่นเรื่องของการศึกษา ซึ่งเราได้เห็นการปิดตัวของโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงระดับมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง ที่ยังไม่ปิดก็อยู่อย่างยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ และน่าจะถึงจุดใกล้วิกฤติโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชน  โชคดีที่การท่องเที่ยวของไทยนั้นเติบโตดีอานิสงค์จากการท่องเที่ยวของคนจีนและอินเดียที่อยู่ใกล้ ทำให้ภาคการท่องเที่ยวจะเป็นภาคที่เติบโตเพื่อที่จะรองรับสังคมของคนที่แก่ตัวมากขึ้น นี่ก็คงคล้ายๆกับญี่ปุ่นที่ขณะนี้ต้องอาศัยการท่องเที่ยวมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของตนจากที่ในอดีตนั้นค่อนข้าง“ปิด”  ไม่ยอมให้ใครเข้าไป “วุ่นวาย” ในประเทศ อสังหาริมทรัพย์จะเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่โตอีกต่อไปในยามที่จำนวนคนเพิ่มน้อยหรือลดลง ความต้องการที่ลดลงบวกกับ“สต็อก” ของบ้านที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากบ้านนั้นสร้างเสร็จแล้วก็สามารถอยู่ได้เป็นหลายๆ สิบปี ดังนั้น ถ้าเราเห็นอสังหาริมทรัพย์ซบเซาลงช่วงนี้ก็อย่าไปหวังว่ามันจะ“ฟื้นขึ้นแรง” ในปีต่อๆ ไป มันอาจจะถึงจุดที่ค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ ตลอดไปแล้วก็ได้ และนี่ก็อาจจะรวมไปถึงห้างร้านและช็อปปิ้งมอลทั้งหลายที่ต้องอาศัยคนเข้าไปจับจ่ายซื้อสินค้า ซึ่งถ้าคนที่มีเงินและพร้อมจับจ่ายสินค้ามีน้อยลงเพราะคนแก่ตัวลงและคนเกิดใหม่มีน้อยลง การเติบโตของร้านค้าเหล่านั้นก็จะถึงจุดที่ค่อยๆ ลดลงตลอดไป แน่นอนว่าคนที่เข้าห้างบางส่วนก็อาจจะเป็นนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น แต่ที่จะสามารถทดแทนคนในประเทศเองนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  อาจจะยกเว้นก็คือร้านค้าที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จริงๆที่อาจจะยังอยู่ไปได้เรื่อยๆ ตราบที่การท่องเที่ยวของเรายังดีอยู่  เรื่องของInnovation หรือการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ หรือความคิดใหม่ๆ ต่างๆ ที่เราเชื่อกันว่าจะเป็นสิ่งที่นำเราให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไปในทางเศรษฐกิจเองนั้น ผมก็คิดว่าทำได้ไม่ง่ายเนื่องจากจำนวนคนรุ่นหนุ่มสาวที่จะเป็นผู้นำทางด้านการคิดค้นและทำธุรกิจStartup มีน้อยลง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าอาจจะเป็นเรื่องของวัฒนธรรมของสังคมที่ยังถูกครอบงำโดยความคิดของคนรุ่นก่อนที่มีจำนวนมากและยังเป็นผู้นำทางสังคมและการเมืองอยู่ ซึ่งทำให้สังคมไทยยังเป็นสังคมอนุรักษ์นิยมสูง คนไม่ค่อยกล้าที่จะคิดนอกกรอบในขณะที่ขนบธรรมเนียมดั้งเดิมจะได้รับการส่งเสริม ผลก็คือ ความคิดสร้างสรรค์และความกล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นน้อย และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เรายังไม่มีสตาร์ทอัพที่เป็น“ยูนิคอร์น” เลย ทั้งๆที่ระดับการพัฒนาและขนาดเศรษฐกิจของไทยนั้นอยู่เหนือกว่าอีกหลายๆ ประเทศหลักในอาเซียน และนี่ก็ทำให้ผมนึกถึงญี่ปุ่นที่ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ มานานมากหลังจากยุค“วอล์คแมน” ของโซนี่ทั้งๆที่เป็นประเทศยิ่งใหญ่อันดับ2 และ3 ของโลกมานาน ทั้งหมดนั้นก็คือปัญหาของความแก่ซึ่งผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะแก้ได้อย่างไร ในด้านของส่วนตัวเองนั้น สิ่งที่ทำก็คือการพยายามรักษาสุขภาพและหาวิธี“ลดอายุ”  ในส่วนของการลงทุนเองนั้น ผมก็กระจายการลงทุนบางส่วนไปประเทศที่ยังไม่แก่และอยู่ในวัยฉกรรจ์และกำลังเติบโตเหมือนเมืองไทยเมื่อ20 ปีที่แล้ว   ..... ————————————- สนใจ กระจายการลงทุน บางส่วนไปประเทศที่ยังไม่แก่และอยู่ในวัยฉกรรจ์และกำลังเติบโตเหมือนเมืองไทยเมื่อ20 ปีที่แล้ว    อ่านต่อ นักลงทุนสนใจหุ้นกลุ่มไหนในประเทศเวียดนาม เศรษฐกิจเวียดนามดีฝ่าปัจจัยบาทแข็งไหวไหม ทริปสัมมนา TOUR LEARN EARN MORE IN HO CHI MINH

คนที่ “จับจังหวะ” ว่าจะเข้าซื้อหุ้นเมื่อราคาหุ้นหรือดัชนีลดลงมานั้น บ่อยครั้งก็มักพลาด คือเข้าไปซื้อหุ้น “เร็วเกินไป”

0
โลกในมุมมองของ Value Investor       28 กรกฎาคม 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร The Postman Always Ring Twice ​ปรากฏการณ์ที่หุ้น  “นางฟ้า”  ขนาดเล็ก-กลาง ที่เคยร้อนแรงราคาพุ่งขึ้นเป็นหลาย ๆ  เท่าตัวในเวลาไม่นานแต่แล้วก็ตกลงมาอย่างหนักเกินกว่า 50% หรือบางตัวกลับมาที่ราคาเดิมและกลายเป็น  “นางฟ้าตกสวรรค์”  จนคนหลายคน “เลิกเล่น” หรือ “สาปส่ง” ไปเลยทำให้หุ้นเหงาไปพักใหญ่  แต่แล้วในช่วงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์มานี้ หุ้นหลายตัวในกลุ่มก็เริ่มกลับมาคึกคักใหม่  ราคาปรับตัวขึ้นอย่างแรงพร้อมกับปริมาณซื้อขายที่คึกคัก  ดูเหมือนว่าคนที่เคยเล่นทั้ง “ขาเล็ก” และ “ขาใหญ่” กำลังกลับมา  สตอรี่และการเติบโตของบริษัทที่เคยขายได้ในช่วงก่อนหน้านั้นที่ถูกทำลายโดยผลประกอบการที่น่าผิดหวังกำลังถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่  ประกอบกับผลประกอบการที่น่าจะ “ดีขึ้น” ในไตรมาศล่าสุด  น่าจะเป็นแรงกระตุ้นที่อาจจะทำให้หุ้นกลับมาเป็น  “นางฟ้า” ใหม่  ทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้ Background ของตลาดหุ้นที่ดีขึ้น  ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้น  และนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้าตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งที่รอคอยกันมานาน ​นั่นทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เคยดูตอนไปเรียนที่อเมริกาใหม่...

MOST POPULAR