แท็ก: บทความ
วิกฤติตลาดหุ้นและการฟื้นตัว
โลกในมุมมองของ Value Investor 27 พฤศจิกายน 64
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เมื่อวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยตกลงมา 37.85 จุดหรือลดลง 2.3% และเป็นการปรับตัวลงแรงตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่ลดลงมาในระดับเดียวกัน อย่างเช่นดัชนีดาวโจนส์ที่ลดลงมา 2.53% และดัชนีนิกเกอิก็ลดลงมา 2.53% เท่ากันพอดี การลดลงในลักษณะคล้าย ๆ กับ ...
สมรภูมิ(หุ้น)เวียดนาม
โลกในมุมมองของ Value Investor 13 พฤศจิกายน 2564
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ตั้งแต่เป็น VI “ผู้มุ่งมั่น” มาหลายสิบปี เวลาผมคิดทำอะไรโดยเฉพาะที่เป็นเรื่องสำคัญหรือเป็น “ยุทธศาสตร์ของชีวิต” ที่ต้อง “ต่อสู้” เพื่อที่จะ “ชนะ” เช่นเรื่องของการลงทุนนั้น ผมจะคิดคล้าย ๆ กับว่าเรากำลัง “เข้าสู่สงคราม” ซึ่งจะต้องวางกลยุทธ์ที่ดีและถูกต้อง เพราะนั่นจะทำให้เรามีโอกาส “ชนะ”...
บิทคับ : ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล
โลกในมุมมองของ Value Investor 6 พฤศจิกายน 2564
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การประกาศเข้าซื้อหุ้นบิทคับออนไลน์จำนวน 51% ด้วยเงิน 17,850 ล้านบาท ของกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์หรือ SCBX เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่เคยประกาศปรับโครงสร้างจากการเป็นธนาคารให้เป็นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินเมื่อเร็ว ๆ นี้ เหตุผลเพราะว่านั่นเป็นเครื่องแสดงว่ากลุ่ม SCBX “เอาจริง” กับการมุ่งหน้าไปสู่ “โลกใหม่”...
ทำไมหุ้นเวียดนาม All Time High ?
เวียดนามเป็นหนึ่งในตลาดที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดทั่วโลก
โดยเพิ่มขึ้น 7.6% MoM และ +30.8% YTD
วันนี้ VN index ปิดที่ 1456.51 จุด
PYN Elite ให้มุมมองว่า เวียดนามพุ่งแรงอีกครั้งเพราะ
1. ความเชื่อมั่นในการเปิดเศรษฐกิจและอัตราการเร่งฉีดวัคซีน
2. ผลประกอบการไตรมาส 3 ดีเกินคาด
3. แผนกระตุ้นเศรษฐกิจออกใหม่ ของรัฐบาล
----
All Time High แล้วแพงไหม?
PYN...
เปิดแล้วจ้า!
หลังล็อกดาวน์โหด 3 เดือน
พรุ่งนี้ 1 ต.ค. เวียดนามจะยกเลิกคำสั่งล็อกดาวน์ในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
ซึ่งจะสิ้นสุดการจำกัดการเคลื่อนไหวที่เข้มงวดของโควิด 19 เกือบ 3 เดือน!! เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ประชาชนในโฮจิมินห์ซิตี้ เมืองสำคัญสุดทางเศรษฐกิจที่มีประชากร 10 ล้านคน จะ
สามารถออกจากบ้านได้ ด่านตรวจทั้งหมดบนถนนจะถูกยกเลิก และไม่ต้องมีใบอนุญาตเดินทางหลังจากวันนี้ธุรกิจที่จำเป็นอื่นๆ สามารถเปิดได้ นิคมอุตสาหกรรมเปิดได้โครงการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าสถานบริการร้านอาหารซื้อกลับบ้าน
อย่างไรก็ตาม
โรงเรียนจะยังปิดทำการการเดินทางเข้าและออกนอกเมืองจะถูกควบคุม
กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า 98.5% ของผู้ใหญ่ในนครโฮจิมินห์ได้รับการฉีดวัคซีน และ 48 %ได้รับวัคซีนทั้งสองเข็มแล้ว
อย่างไรก็ตาม อัตราการฉีดวัคซีนครบ 2...
โลกในมุมมองของ Value Investor 25 กันยายน 64
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Big Bank-Big Bang
การประกาศปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของธนาคารไทยพาณิชย์โดยการแยกธุรกิจแบ้งค์และธุรกิจอื่น ๆ รวมถึงการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจที่เกี่ยวกับ “ฟินเท็ค” ที่เป็นเรื่องของ “แพลทฟอร์ม” และธุรกิจเวนเจอร์แค็บปิตอลที่ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีสมัยใหม่ทั้งหลายออกจากกันและทุกบริษัทอยู่ภายใต้บริษัทใหม่ชื่อ SCBX ซึ่งจะเป็น “ยานแม่” หรือเป็น Holding...
วิธีเลือกตลาดหุ้นลงทุน
โลกในมุมมองของ Value Investor 6 มีนาคม 64
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ด้วยโลกของการลงทุนที่เปิดกว้างขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนสำหรับนักลงทุนไทย ประกอบกับการที่ตลาดหุ้นไทยมีผลงานการลงทุนที่ “ย่ำแย่” คือแทบไม่ให้ผลตอบแทนเลยมาเป็นเวลา 7-8 ปีแล้ว การเคลื่อนย้ายเม็ดเงินลงทุนไปยังตลาดอื่น ๆ ทั่วโลกจึงเป็นสิ่งที่มีเหตุผลและนักลงทุนจำนวนไม่น้อยก็ได้เริ่มออกไปลงทุน หลาย ๆ คนได้ผลตอบแทนที่ดีมากในช่วงเร็ว ๆ นี้ อย่างไรก็ตาม มีคำถามว่าตลาดหุ้นที่ไปลงนั้น จะดีต่อไปอย่างยั่งยืนหรือเปล่า ...
การกระจายตลาด เช่นถือหุ้นต่างประเทศด้วยก็อาจจะเป็นสิ่งที่จำเป็นในยุคนี้
Survivor
โลกในมุมมองของ Value Investor 7 พฤศจิกายน 63
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Survivor
คนที่เป็น VI นั้น ผมคิดว่าน่าจะต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งนั่นก็คือ เขาเป็น “Survivor” หรือคนที่สามารถ “เอาตัวรอด” ได้ใน “สถานการณ์ที่ยากลำบาก” อย่างเช่นในเรื่องของการลงทุนในปัจจุบันนั้น ถ้าใครที่พอร์ตลงทุนโดยรวมขาดทุนหรือเสียหายไม่เกิน 20-25% และไม่ได้ทำให้ “ชีวิต” เปลี่ยนแปลงไปมาก ก็ต้องถือว่ายังเป็น Survivor เหตุผลก็เพราะเศรษฐกิจไทยตกอยู่ในช่วงภาวะ “วิกฤติ”ตลาดหุ้นเองก็เคยตกลงมาหนักกว่า 30% ในช่วงแรก และแม้แต่ในช่วงล่าสุดก็ยังตกลงมากว่า 20% จากต้นปี อย่างไรก็ตาม นี่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องรับประกันว่าเขาจะยังอยู่รอดได้ไปถึงสิ้นปีหรือในอนาคตข้างหน้าสำหรับวิกฤติรอบนี้ เหตุผลก็เพราะ วิกฤติรอบนี้ก็ยังไม่จบ ดัชนีตลาดหุ้นไทยเองก็ยังไม่ได้ฟื้นตัวและกลับทิศไปแน่นอนแล้วอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นในตลาดหุ้นที่ก้าวหน้ากว่าอย่างสหรัฐหรือจีนหรือตลาดหุ้นที่ด้อยกว่าอย่างตลาดหุ้นเวียตนาม
ในความคิดของผม คำว่า Survivor ในเรื่องของการลงทุนนั้น เป็นเรื่อง “ระยะยาว” ที่คน ๆ...
This (Covid19) too shall pass
This (Covid19) too shall pass
โลกในมุมมองของ Value Investor9 พฤษภาคม 63ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เวลาเกิดเหตุการณ์หรือมีสถานการณ์ที่รุนแรงโดยเฉพาะเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความยากลำบากอย่างใหญ่หลวงจน “แทบทนไม่ไหว” จงจำไว้ว่า เหตุการณ์แบบนั้นจะไม่อยู่ตลอดไป มันเป็นเรื่อง “ชั่วคราว” ถึงวันหนึ่งมันก็จะเปลี่ยนไป นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ดังนั้น เราจะต้องอดทนเพื่อที่จะ “ผ่านมันไปให้ได้” เพื่อที่จะไปสู่ความรุ่งเรืองและมั่งคั่งที่อาจจะตามมา และคำกล่าวคลาสสิกที่พูดโดย อับราฮัม...
ลงทุนหุ้นท่ามกลางวิกฤติ
โลกในมุมมองของ Value Investor
21 มีนาคม 63
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เมื่อวันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2563 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยปรับตัวขึ้นอย่างแรงจาก 1,044.19 จุดเป็น1,127.24 จุด ปรับเพิ่มขึ้นถึง 83 จุดหรือเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 8% ในวันเดียว หุ้นขนาดใหญ่หลายตัวปรับขึ้นติดซิลลิ่งที่15% ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีข่าวสำคัญมากอะไรที่น่าจะเป็นสาเหตุ จริงอยู่ ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมาบ้างจากราคาที่ต่ำมากอาจจะเป็นจุดที่ทำให้หุ้นในกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันและปิโตรเคมีดูดีขึ้นแต่นั่นก็ไม่น่าที่จะทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นแรงขนาดนั้น สถานการณ์ของไวรัสโควิท19 ของไทยและของโลกเองก็ไม่ได้ดูดีขึ้น ว่าที่จริงโดยเฉพาะในกรณีของประเทศไทยเองนั้น ดูเหมือนว่าเราจะ “แย่ลงมาก” โอกาสที่เราจะต้อง “ปิดเมือง” ดูเหมือนจะสูงขึ้นมาก ถ้าถามผมคิดว่า การปรับตัวขึ้นของดัชนีนั้น น่าจะมาจากแรง “เก็งกำไร” ของนักลงทุนไทยที่อาจจะเห็นว่าดัชนีตลาดหุ้นได้ตกลงมามากจนเป็นวิกฤติ เดี๋ยวก็จะ “เด้ง” ขึ้น ดังนั้น พวกเขาจึงเข้ามาช้อนซื้อหุ้นก่อน เมื่อหุ้นขึ้น คนที่รออยู่ก็รีบเข้ามาเก็บหุ้นตามทำให้ราคาหุ้นโดยเฉพาะหุ้นที่เป็น “หุ้นเก็งกำไร” ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นอย่างน้อย 10-15% ภายในวันเดียว คำถามสำคัญที่ตามมาก็คือ นี่เป็นเวลาที่หุ้นจะกลับตัวหรือยัง? หุ้นกำลังจะฟื้นจากวิกฤติหรือ? คนที่รอซื้อหุ้นกำลังจะ “ตกรถ” หรือเปล่า?
ผมเองคิดว่าไม่ นี่อาจจะเป็นสถานการณ์ชั่วคราวที่เรียกว่า “Technical Rebound” ที่หุ้นปรับตัวขึ้นแรงมากหลังจากตกลงมาแรงมาก แต่เมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนเลวร้ายลงอีก หุ้นที่ขึ้นไปแรงก็จะตกลงมาและจะต่ำลงกว่าจุดต่ำเดิม คนที่เข้าไปซื้อหุ้นในราคาที่สูงก็จะขาดทุนหนัก ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 นั้น คนเรียกการตกของหุ้นในช่วงปีแรกว่าเป็น “ปีเผาหลอก” และการตกลงมาอีกในปีต่อไปว่าเป็นปี “เผาจริง” เหตุผลที่ให้ก็คือ ปีแรกที่เกิดวิกฤตินั้น อาการยังไม่หนักเท่าปีต่อมา หรือบางทีอาจจะเป็นว่า ปีแรกนั้นคนยังไม่ตระหนักว่าเศรษฐกิจมันจะเลวร้ายขนาดนั้น พอเวลาผ่านไปจึงรู้ว่า ปัญหาทางเศรษฐกิจนั้น หนักกว่าที่คิดไว้ ผลก็คือ ดัชนีหุ้นที่ดีดกลับขึ้นไปนั้น ตกกลับลงมาอย่างแรงจนคนหมดกำลังใจจริง ๆ และการตกลงมารอบหลังนี้ คนเลิกเล่นหุ้น ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันลดลงไปมาก และนั่นก็คือเวลาที่จะซื้อหุ้นอย่างจริงจังแบบ “ช้า ๆ ไม่ต้องรีบ”
ลองมาดูประวัติศาสตร์ดัชนีหุ้นของวิกฤติปี 2540 ดู ในวันสิ้นปี 2538 นั้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 1,281 จุด ในช่วงเวลานั้น คนในแวดวงธุรกิจและวงการเงินต่างก็เริ่มจะรู้แล้วว่าเศรษฐกิจไทยมีปัญหา ค่าเงินเม็กซิโกตกต่ำลงอย่างหนักและมากเป็นประวัติการณ์ บริษัทหลักทรัพย์แบริ่งซึ่งเป็นบริษัทเก่าแก่และยิ่งใหญ่ระดับโลกล้มละลายก่อให้เกิดความปั่นป่วนในตลาดเงินโลก ที่สำคัญ การส่งออกของไทยกำลังถดถอยลงอานิสงค์จากค่าเงินบาทที่แข็งเกินไปและผูกติดกับเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งทำให้ไทยขาดดุลการค้ามหาศาลในระดับเกือบ 10% ของ GDP สถานะเงินสำรองของประเทศลดต่ำลงจนอยู่ในภาวะอันตราย สถาบันการเงินโดยเฉพาะบริษัทเงินทุนเริ่มมีปัญหา ผลก็คือในช่วงเวลาตลอดปี 2539 ดัชนีลดลงจากจุดสูงสุดที่ประมาณ 1,400 จุดในช่วงไตรมาศแรกของปี เหลือเพียง 832 จุดตอนสิ้นปีหรือลดลงประมาณ 40% กลายเป็นภาวะ “วิกฤติตลาดหุ้น” ในปี 2539
แต่นั่นยังไม่พอ ดัชนียังไหลลงต่อในปี 2540 จนถึงเดือนมิถุนายนก่อนที่จะมีการ “ลอยตัวค่าเงินบาท” ที่ดัชนีตกลงมาเหลือ 527 จุด แต่หลังจากประกาศ คนคงคิดว่าทุกอย่างคงจบแล้ว ราคาหุ้นลงมามากพอแล้ว ดัชนีตกลงมา 62% แล้ว ดังนั้นคนจึงเข้ามาซื้อหุ้นอย่างหนัก ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างแรงในเดือนกรกฎาคมเป็น 666 จุดหรือหุ้นขึ้นไปถึง26% ภายในเวลาเพียงเดือนเดียว และเมื่อมองย้อนหลัง นี่คือ “Technical Rebound” ในท่ามกลางภาวะวิกฤติ เพราะหลังจากการเด้งขึ้นไป 26% มันก็ตกลงมาต่อจนถึงสิ้นปีดัชนีก็ลดลงมาเหลือเพียง 373 จุด หรือตกลงมาจากจุดสูงสุดที่ 1,400 จุด ถึง 73% และนักลงทุนก็คงคิดว่านี่คงจะเป็น Bottom หรือพื้นจริง ๆ แล้ว ได้เวลาช้อนซื้อหุ้นอีกครั้งหนึ่ง ผลก็คือ หุ้นปรับตัวขึ้นไปอย่างแรง ภายในเวลา 2 เดือนของปี 2541 หุ้นก็ดีดตัวขึ้นไปถึง 528 จุด หรือขึ้นไปกว่า41% คนอาจจะคิดว่าเมื่อวิกฤติ “ผ่านไป” ทุกอย่างก็คงจะกลับมาเหมือนเดิมในเวลาอันรวดเร็ว อาจะไม่เกินปีสองปี ดังนั้น หุ้นก็ปรับตัวขึ้นไปก่อน เหนือสิ่งอื่นใด 528 จุดก็ต่ำมากและคิดแล้วก็ยังเป็นการตกลงมาจากยอดที่ 1,400 จุดถึง 62%
แต่แล้วนักลงทุนก็คาดผิด การปรับตัวขึ้นของหุ้นถึง 41% ไม่ใช่เพราะวิกฤติกำลังจะผ่านไป ที่จริงวิกฤติมันเพิ่งจะเริ่มส่งผลไปที่ตัวหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ทั้งหลายที่กำลัง “ปรับโครงสร้าง” กันอย่างยากลำบาก พวกเขากำลังหาผู้เข้ามาเพิ่มทุนกู้กิจการที่เรียกว่า “Technical Bankrupt” หรือ “เจ๊ง” ไปแล้ว ดังนั้น เมื่อข้อมูลข่าวสารเริ่มทยอยออกมา พื้นฐานที่แท้จริงของกิจการปรากฏออกมาเรื่อย ๆ ดัชนีหุ้นก็ตกลงมาต่อ ดัชนีไหลลงจาก 528 จุด เหลือเพียง 214 จุด เมื่อสิ้นเดือนสิงหาคม 2541 และเป็นจุดต่ำสุดจริง โดยรวมแล้ว วิกฤติรอบต้มยำกุ้งนั้นลดลงจาก 1,400 จุดช่วงไตรมาศแรกของปี 2539 จนถึงสิงหาคม 2541 เป็นเวลาประมาณ 2ปี 7 เดือน และดัชนีลดลงประมาณ 85% เป็น หายนะครั้งใหญ่ที่ทำให้ตลาดหุ้นเหงาหงอยและคน “สาบส่ง” การเล่นหุ้นและทำให้ปริมาณการซื้อขายหุ้นเหลือวันละเพียง 2-3,000 ล้านบาท การเล่นหุ้นแบบเก็งกำไรและไม่สนใจพื้นฐานของหุ้นหายไป และการลงทุนแบบ VI ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ ยุคใหม่ของการลงทุนเริ่มขึ้นและต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้เป็นเวลากว่า 20 ปี
วิกฤติโควิด19 เกิดขึ้นเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดในปี 2019 จากประเทศจีนและขยายไปทั่วโลกส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำลง ซึ่งส่งผลให้การส่งออกซึ่งเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของไทยลดต่ำลง ในอีกด้านหนึ่ง การท่องเที่ยวของไทยที่เป็นอุตสาหกรรมใหญ่ที่ทำรายได้เพิ่มมากที่สุดของไทยและก่อให้เกิดผลิตผลไม่ต่ำกว่า 15% ของ GDP และการจ้างงานเป็นล้าน ๆ คนก็ลดต่ำลงในระดับ “หายนะ” อย่างน้อยน่าจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี ก่อนที่นักท่องเที่ยวจะกลับมา ทั้งสองอย่างนี้ทำให้ GDP ของไทยคงติดลบในปีนี้ โชคไม่ดี ในช่วงเวลาเดียวกัน สงครามราคาน้ำมันระหว่างซาอุดิอาระเบียกับรัสเซียทำให้ราคาน้ำมันตกต่ำลงมากถึงต่ำกว่า 20 เหรียญต่อบาร์เรล นี่ทำให้บริษัทน้ำมันและปิโตรเคมีที่เกี่ยวข้องที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมี Market Cap รวมกันถึงเกือบ 30% ในตลาดหุ้นจะมีกำไรที่ลดลงมากหรือขาดทุน ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดวิกฤติตลาดหุ้นที่รุนแรง ดัชนีหุ้นลดลงอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่วัน โดยรวมแล้ว ดัชนีตกลงมาจากต้นปีถึงวันพฤหัสที่ 19 มีนาคม 63 ถึง 33.9% และคนอาจจะคิดว่ามันตกลงมาพอแล้ว วิกฤติโควิด19 กำลังผ่านไป ราคาน้ำมันก็คงไม่ต่ำอยู่อย่างนั้นตลอดไป เมื่อตกลงกันได้ราคาก็จะเพิ่มขึ้น ดังนั้น คนก็เข้ามาซื้อหุ้นดันราคาให้ขึ้นไป แต่นี่เป็นเรื่องจริงหรือ? วิกฤติครั้งนี้ทำให้หุ้นตกลงไปเพียง 33.9% เท่านั้นหรือ? ผมไม่แน่ใจ
ว่าที่จริงประเทศไทยเพิ่งจะเริ่มมีมาตรการอย่างจริงจังในการแก้ปัญหาไวรัสหลังจากจำนวนคนป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในยุโรปและอเมริกาเองก็เพิ่งเริ่มตระหนักว่าไวรัสนี้เป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติที่ต้องทุ่มเทสรรพกำลังในการต่อสู้ไม่น้อยกว่าวิกฤติอื่น ๆ แน่นอนว่าในที่สุดสาเหตุของวิกฤติก็จะต้องผ่านไปและเศรษฐกิจก็จะฟื้นและตลาดหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นอย่างแรง แต่มันคือเวลานี้หรือผมยังสงสัย ผมคิดว่ามีโอกาสที่การปรับตัวในช่วงนี้น่าจะเป็น Technical Rebound คล้าย ๆ ช่วงวิกฤติปี 2540 จริงอยู่ ในวิกฤติซับไพร์มในปี 2551 ดูเหมือนว่าหุ้นจะลงมา 50% แบบ “ม้วนเดียวจบ”...