โลกในมุมมองของ Value Investor ตุลาคม 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การลงทุนแบบ “Passive” หรือลงทุนซื้อหุ้นโดยไม่ต้องเลือกหุ้นเป็นรายตัว แต่อาศัยดัชนีหุ้นหรือเงื่อนไขบางอย่างเป็นตัวกำหนดในการซื้อหุ้น ซื้อแล้วก็ถือพอร์ตการลงทุนนั้นไว้ยาวนานโดยที่อาจจะมีการปรับจำนวนหุ้นบ้างตามระยะเวลาและตามเกณฑ์ที่กำหนด การทำแบบนี้มีข้อดีคือไม่ต้องใช้เวลาหรือความสามารถในการวิเคราะห์เลือกหุ้น ทำให้ต้นทุนของการลงทุนลดลง นอกจากนั้นก็มักจะช่วยลดความเสี่ยงเพราะมีการกระจายการลงทุนออกไปในหุ้นหลาย ๆ ตัว ตัวอย่างของการลงทุนแบบ Passive ชัดเจนก็เช่นการลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีตลาด เช่น ลงทุนใน SET50 หรือดัชนีที่รวมหุ้นใหญ่ที่สุด 50 ตัวในตลาดหลักทรัพย์ไทย หรือลงทุนในดัชนี S&P500 ในตลาดหุ้นสหรัฐ เป็นต้น
สถิติการลงทุนระยะยาวในดัชนีตลาดหุ้นหลัก ๆ ของประเทศนั้น ดูเหมือนจะดีกว่าการลงทุนแบบที่มีคนหรือ “ผู้เชี่ยวชาญ” เป็นผู้เลือกซื้อ-ขายหุ้น อานิสงค์ส่วนหนึ่งเพราะว่าต้นทุนในการจ้าง “เซียนหุ้น” มาบริหารนั้นค่อนข้างจะแพง เช่น ปีละ 2-3% ของมูลค่าหุ้นในพอร์ตในแต่ละปี เป็นต้น นอกจากนั้นแล้วก็ยังดูเหมือนว่าคนเลือกหุ้นนั้น ไม่ได้เป็นเซียนจริง ทำผลการลงทุนแพ้ “ค่าเฉลี่ย” ซึ่งก็คือตัวดัชนีตลาดหุ้นนั่นเอง
VI และนักลงทุนส่วนบุคคลจำนวนมากนั้น มีความเชื่อว่าตนเองมีความสามารถและมีความยืดหยุ่นและกล้าเสี่ยงกว่านักลงทุนสถาบันที่เป็นมืออาชีพ ดังนั้น เราจึงมักลงทุนเลือกหุ้นเองเป็นรายตัว เรากล้าที่จะลงทุนในหุ้นไม่กี่ตัว เช่น ตัวหลัก ๆ เพียง 5-6 ตัว ที่เราคิดว่าทำให้พอร์ตมีการกระจายหุ้นเพียงพอและไม่เสี่ยงเกินไป ในขณะที่ผลตอบแทนของเราก็จะเพิ่มขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญได้
ในกลุ่มของคนที่เป็นนักเลือกหุ้นลงทุนเองนั้น ...
นักลงทุนในประเทศลงทะเบียนบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ใหม่ 172,695 บัญชีในเดือนกันยายนซึ่งเป็นจํานวนสูงสุดเป็นอันดับสองในรอบกว่าหนึ่งปี ตามข้อมูลของ Vietnam Securities Depository and Clearing Corporation (VSDC)
ในเดือนนี้ องค์กรในประเทศได้เปิดบัญชีใหม่ 90 บัญชี VSDC กล่าว
ณ เดือนกันยายน จํานวนบัญชีทั้งหมดของนักลงทุนรายย่อยในประเทศทะลุ 7.76 ล้านบัญชีเทียบเท่ากับมากกว่าร้อยละ 8 ของประชากร
ในเดือนกันยายน นักลงทุนรายย่อยและองค์กรต่างชาติได้ลงทะเบียนบัญชีใหม่ 225 และ 28 บัญชีตามลําดับ ทําให้จํานวนบัญชีต่างประเทศทั้งหมดเป็น 42,711 บัญชี
ตลาดหุ้นเวียดนามบันทึกไตรมาสที่3เป็นขาขึ้น โดยมีช่วงการซื้อขายพันล้าน-US-dollar ติดต่อกัน
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 11.2 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าและเพิ่มขึ้น 85.4 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 28.62 ล้านล้านดอง
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในตลาดหลักทรัพย์ Hồ Chí Minh (HoSE) และตลาดหลักทรัพย์ Hà Nội (HNX) อยู่ที่ VNĐ25.13 ล้านล้านและ VNĐ2.38 ล้านล้านในเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 12.7 เปอร์เซ็นต์และ 9.0 เปอร์เซ็นต์ month-on-month ตามลําดับ ในขณะเดียวกัน มูลค่าของแต่ละเซสชั่นในตลาดบริษัทมหาชนที่UPCoM สูงถึง VND1.10 ล้านล้าน ลดลง 11.3 เปอร์เซ็นต์
ตลาดหุ้นยังคงมีเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่องในบริบทที่อัตราดอกเบี้ยลดลงอย่างรวดเร็ว และช่องทางการลงทุนอื่นๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์และพันธบัตรองค์กร ยังคงอ่อนลง
HoSE กําลังพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ระบบการซื้อขายที่พัฒนาโดย Korea Exchange (KRX) เริ่มดําเนินการในปลายปี 2023 เพื่อให้แน่ใจว่าตลาดจะดําเนินงานได้อย่างราบรื่นอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
ลงนามโดย HoSE และ KRX ในปี 2555 โครงการนี้คาดว่าจะนําผลิตภัณฑ์ใหม่ การซื้อขายและโซลูชันการชําระเงินมาสู่ตลาดหุ้นเวียดนาม เช่น การชําระบัญชี T 0 การขายชอร์ต และสัญญาออปชั่น สิ่งนี้จะสร้างหลักฐานในการแก้ปัญหาคอขวดและก้าวไปสู่การอัพเกรดตลาดจากพรมแดนไปสู่การเกิดใหม่
VVI Membership
ดูรายละเอียดและสมัครได้ที่ https://class.vietnamvi.com
หรือ ติดตามเราได้ที่
– Line :@vietnamvi คลิก https://lin.ee/Jy9n680
– facebook: https://www.facebook.com/vvinvestor
– Youtube:http://youtube.com/c/vietnamvi
– E-mail: info@vietnamvi.com
โลกในมุมมองของ Value Investor 7 ตุลาคม 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ตั้งแต่สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 ถึง วันที่ 7 ตุลาคม 66 คิดเป็นเวลาเพียง เดือนกว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยตกลงมาอย่างต่อเนื่องประมาณ 8% ไปแล้ว อานิสงค์ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการตกลงมาอย่างแรงของดัชนีตลาดหุ้นอเมริกาเช่น ดัชนี S&P 500 ที่ตกลงมาประมาณ 4.4% และดัชนี NASDAQ ที่ตกลงมาประมาณ 4.3% ในช่วงเวลาเดียวกัน โดยที่ดัชนีหุ้นอเมริกาที่ตกลงมาน่าจะมาจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางจนสูงขึ้นไปกว่า 5% ต่อปีไปแล้วและอาจจะมีโอกาสขึ้นต่อในอนาคตอีกด้วยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่ยังไม่ลดลงจนถึงจุดที่เหมาะสม
แต่ความแตกต่างของตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ที่ว่า ตั้งแต่ต้นปีมานั้น ดัชนี S&P ยังบวกถึง 12.7% และ NASDAQ ยังบวกถึง 29.3% และยังเป็นระดับดัชนีที่ใกล้เคียงกับระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีมานี้ ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยนั้นยังต่ำกว่าดัชนีตอนต้นปีอยู่ถึง 13.8% และอยู่ในระดับประมาณเท่ากับเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ 1,438 จุด สถานการณ์ตลาดหุ้นในช่วงเวลานี้สำหรับทั้งตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศเขาเรียกกันว่า “เลือดนองตลาดหุ้น”
เหตุผลของตลาดหุ้นไทยที่ตกลงมา “ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ” ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานั้น ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญมากนัก ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 30 กันยายน 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทุกคนผมเชื่อว่าจะต้องเคยลงทุนในหุ้นบางตัวที่วงการนักลงทุนผู้มุ่งมั่นเรียกว่าเป็น “หุ้นเปลี่ยนชีวิต” นั่นก็คือหุ้นที่เขาลงทุนซื้อแล้ว ราคาหรือมูลค่าของหุ้นปรับตัวขึ้นไปมากแบบ “มโหฬาร” บางทีเป็นหลาย ๆ เท่าหรือถึง 10 เท่าในเวลาไม่นาน อาจจะแค่ปีหรือสองปีหรือบางทีน้อยกว่านั้น แล้วเขาก็ขายไปพร้อม ๆ กับกำไรมหาศาล ไม่ใช่เพราะว่าเขาลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมากเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเขายังใช้มาร์จินหรือใช้บล็อกเทรดที่ขยายกำไรได้อีกเป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัว หลังจากการขายหุ้นออกไป ชีวิตเขาก็เปลี่ยน จากนักลงทุนธรรมดาก็กลายเป็น “เศรษฐี” หุ้นตัวนั้นก็กลายเป็น “หุ้นเปลี่ยนชีวิต” ของเขา
หลังจากนั้น หุ้นตัวนั้นก็ตกลงมาอย่างแรง บางทีกลับมาเท่าเดิมตอนที่เขาซื้อหรือต่ำกว่า เพราะสิ่งที่ขับเคลื่อนให้หุ้นขึ้นไปเช่นผลกำไรที่ดีเลิศและเรื่องราวในอนาคตที่สวยหรูไม่ได้ดำเนินต่อไปแต่กลับไปในทางตรงกันข้าม กำไรของบริษัทที่เคยสูงหลุดโลกตกลงมามาก บางทีกลายเป็นขาดทุน อนาคตที่สวยหรูไม่เป็นไปตามที่คนเชื่อ บางกรณีก็เกิดเหตุการณ์โกงหรือการหลอกลวงที่ปิดไว้ไม่อยู่อีกต่อไป นักลงทุนขาดความมั่นใจขายหุ้นทิ้ง ราคาหุ้นตกลงมาอย่างรุนแรงเกิน 70-80% กลายเป็น “คอร์เนอร์แตก” นักลงทุนจำนวนมากที่ขายหุ้นไม่ทัน รวมถึงนักลงทุนที่ซื้อหุ้นไว้จำนวนมากและใช้มาร์จินแบบเดียวกับคนที่เป็นเศรษฐีไปแล้ว ขาดทุนอย่างหนัก บางคนชีวิตก็เปลี่ยนเหมือนกัน แต่เปลี่ยนจากคน “เคยรวย” เป็นคนธรรมดาหรือเป็นยาจก
ดังนั้น “หุ้นเปลี่ยนชีวิต” นั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นหุ้นที่ดีมาก หรือเป็นหุ้นที่ดีตลอดหรือแม้แต่ดียาวนาน และก็เช่นเดียวกัน หุ้นที่เปลี่ยนชีวิตของคนบางคนก็อาจจะเป็น “หุ้นหายนะ” สำหรับคนอื่นและอาจจะเป็นคนจำนวนมากด้วยก็ได้ โดยเฉพาะถ้าหุ้นเปลี่ยนชีวิตตัวนั้นไม่ใช่เป็นหุ้น...
โลกในมุมมองของ Value Investor 23 กันยายน 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การเปลี่ยนแปลงแนวทางการคิดภาษีการลงทุนหุ้นต่างประเทศเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน ซึ่งมีผลสำคัญก็คือ ทำให้คนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศด้วยตนเองที่เริ่มมีมากขึ้นมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคิดว่าการลงทุนหุ้นต่างประเทศนั้น “ไม่เสียภาษี” เหมือนการลงทุนในหุ้นไทย ถ้าไม่นำเงินกลับมาในปีที่ขายหุ้น นักลงทุนที่ไปนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็หวังที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทย และต่างก็คิดว่าเงินที่นำออกไปลงทุนนั้น จะเป็นการลงทุนระยะยาวถึงยาวมาก เป็นการลงทุน “เพื่อชีวิต” เป็นการลงทุน “เพื่อการเกษียณ” หรืออย่างน้อยก็ลงทุนหลาย ๆ ปี ต่างก็ “ช็อก” เพราะอยู่ ๆ ก็มีประกาศว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป คนที่นำเงินที่ได้จากการลงทุนในต่างประเทศกลับมาจะต้องเสียภาษีตามอัตราบุคคลธรรมดา ซึ่งอาจจะเสียภาษีสูงสุดถึง 35%
ที่ทำให้ช็อกกว่าก็คือ เกณฑ์การเสียภาษีใหม่นั้น ถ้าคนที่ไปลงทุนอยู่แล้ว ไม่ต้องการลงทุนต่อและจะนำเงินกลับมาทันทีเพื่อเลี่ยงที่จะเสียภาษีที่จะเริ่มใช้ในต้นปีหน้า ส่วนใหญ่แล้วก็ทำไม่ได้ เพราะถ้าขายปีนี้เพื่อจะนำเงินกลับมาปีหน้าก็ทำไม่ทันแล้ว สรุปก็คือ เงินที่ออกไปแล้ว ตอนนี้ก็เหมือนกับ “ผู้ลี้ภัย” ที่ไม่สามารถกลับประเทศไทยที่เป็นเหมือน “บ้านเกิด” ได้ โดยเฉพาะถ้าออกไปแล้วทำผลตอบแทนได้ดีและมีกำไรมาก เพราะถ้ากลับมาก็อาจจะโดนเก็บภาษีถึง 35% หลายคนที่ประสบปัญหานี้ต่างก็คิดว่า บางที ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 16 กันยายน 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมเป็นคนที่ชอบอ่าน Quote หรือ “คำคม” ของคนที่มีชื่อเสียงโดยเฉพาะในเรื่องที่ผมสนใจ ผมคิดว่ามันให้ข้อคิดที่ดีและทำให้เราจำได้เวลาที่ผมประสบกับเรื่องนั้น ผมจะได้คิดตรึกตรองอย่างลึกซึ้งขึ้น และ “คำคม” เกี่ยวกับการลงทุนก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมชอบและก็มักจะจำได้ แม้ว่าจะไม่ตรงกับคำพูดของคนนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ผมก็มักจะจำเนื้อหาหลักของมันได้ ลองมาดูกันว่า “เซียนหุ้น” หรือนักเลือกหุ้นชั้นนำเขาพูดหรือคิดอะไรกันบ้าง
คนแรกที่ผมคิดและจดจำเสมอเวลาจะลงทุนในหุ้นแต่ละตัวก็คือคำคมของ วอเร็น บัฟเฟตต์ที่ว่า “กฎข้อแรกของการลงทุนก็คือ อย่าขาดทุน และกฎข้อสองของการลงทุนก็คือ อย่าลืมกฎข้อแรก และนั่นก็คือกฎทั้งหมดที่มี” นี่เป็นกฎที่ดูไม่ได้มีอะไรโดดเด่น เพียงแต่เป็นการเล่นคำ อย่างไรก็ตาม เพราะมันเป็นคำพูดของบัฟเฟตต์ เซียนหุ้นหมายเลข 1 ของโลก มันจึงมีความหมายและกลายเป็นคำคมที่คนรู้จักมากที่สุด—แม้ว่าน้อยคนจะปฏิบัติติตามจริง ๆ
สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่านี่เป็นหลักการที่ผมยึดถือมากที่สุด ผมเชื่อว่าเขาพูดอย่างมีความหมายและจริงจัง เบื้องหลังของมันก็คือ การลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์ของบัฟเฟตต์ทุกครั้งจะต้องมีการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะในด้านที่ว่ามันจะมีโอกาสผิดพลาดและทำให้ขาดทุนในระยะยาวหรือไม่ ถ้ามี เขาก็จะไม่ซื้อ แม้ว่าโอกาสที่จะกำไรมหาศาลจะสูงกว่า และนั่นก็เป็นเหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งว่าเขาจะลงทุนในหุ้นจำนวนน้อยตัวมากเมื่อเทียบกับนักลงทุนอื่นที่มีพอร์ตใหญ่เช่นกัน และก็แทบจะไม่ขายหุ้นเลยหลังจากซื้อแล้ว
สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อหลักคิดของบัฟเฟตต์ข้อนี้ก็คือ สถิติการลงทุนของบัฟเฟตต์ในช่วงเวลากว่า 70 ปี ของเขานั้น มีหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่เขาลงทุนและต้องขายขาดทุนน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วหุ้นแต่ละตัวจะกำไรมหาศาลเนื่องจากเขาถือมายาวนาน แน่นอนว่ามีหุ้นหลายตัวที่ “น่าผิดหวัง”และเขาต้องขายออกไป ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 9 กันยายน 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
สมัยเริ่มเป็น VI ใหม่ ๆ คือประมาณ 30 ปีมาแล้ว ผมเชื่อในหลักการลงทุนแบบที่เรียกว่า “Bottom Up” คือการลงทุนที่เน้นที่ตัวกิจการเป็นหลัก และไม่ได้สนใจเรื่องของภาพใหญ่หรือที่เรียกว่าภาพ “Macro” ที่บอกว่าเราควรต้องเริ่มจากการวิเคราะห์ภาพของเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมก่อนว่าเอื้ออำนวยแค่ไหน จากนั้นจึงมาดูตัวบริษัทว่าเราควรลงทุนหรือไม่ บางคนเรียกการมองหาหุ้นแบบนี้ว่า “Top Down” โดยที่แนวความคิดแบบนี้มาจากความเชื่อที่ว่า ถ้าภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไม่เอื้ออำนวย โอกาสที่บริษัทจะเจริญรุ่งเรืองก็จะยาก
แนวความคิดเรื่องการลงทุนโดยไม่ต้องสนใจภาวะเศรษฐกิจเลยนั้น VI จำนวนมากรวมถึงผมด้วยในยุคบุกเบิกของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยผมคิดว่าสิ่งสำคัญส่วนหนึ่งมาจากหนังสือการลงทุนยอดนิยมของปีเตอร์ลินช์ 2 เล่มนั่นก็คือ “One Up on Wall Street” และ “Beating the Street” ซึ่งปีเตอร์ลินช์บอกว่าการเลือกหุ้นลงทุนของเขานั้น เขาแทบไม่อ่านและไม่สนใจเรื่องของการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจเลย เขาบอกว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น เราควรมองแต่เฉพาะตัวกิจการว่ามันจะเติบโตไปได้มากน้อยแค่ไหน ดูจากสินค้าและความนิยมของลูกค้าในท้องตลาด พูดง่าย ๆ ฟังจาก “ชาวบ้าน” ดีกว่าฟังนักเศรษฐศาสตร์
ถัดจากปีเตอร์ ลินช์ หนังสือที่เขียนเกี่ยวกับแนวคิดและการลงทุนของวอเร็น บัฟเฟตต์ ก็ตามมา ดูเหมือนว่าบัฟเฟตต์เองนั้น ก็แทบไม่ได้ใส่ใจกับภาวะเศรษฐกิจหรือภาพใหญ่อะไรทั้งสิ้น จริงอยู่ ...
เปิดแล้วทริปสัมมนา VVI: Tour Learn Earn More in Ho Chi Minh Cityเที่ยวไป-หาหุ้นไป22-24 ต.ค. 2566
สมัครทริปสัมมนา VVI HCMC 2023 ได้เลยhttps://forms.gle/G2fvLSAecgfKP26Z7
=========HIGHLIGHT=========– ได้เวลาปิดจอ แล้วไปเที่ยวหาหุ้นเวียดนามกับ VVI
– Update สาระความรู้ ศึกษาธุรกิจ สภาพการแข่งขันของหุ้นเวียดนามไปพร้อมกับการท่องเที่ยวเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญสุด Ho Chi Minh City
– เรียนรู้-แลกเปลี่ยนประสบการณ์การลงทุนกับเพื่อนนักลงทุน คุยกันสดๆ พร้อมใช้ชีวิตร่วมกัน
– พบบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น ถามตรงกับผู้บริหาร
– Company visit ชมธุรกิจ บริษัทที่น่าสนใจในตลาดหุ้น
- สถานที่จัดสัมมนา Sheraton Saigon Hotel โรงแรมระดับ 5 ดาว กลางเมือง ทั้งสะดวกทั้งใกล้สถานที่สำคัญในการหาหุ้น และอาหารอร่อย
– อำนวยความสะดวกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเปิดพอร์ตตรงกับโบรกเกอร์ที่เวียดนาม
– อิสระในการเดินทางและจองที่พัก (ยินดีช่วยจองที่พักและประสานการเดินทางสำหรับท่านที่ไม่คุ้นเคยกับเวียดนาม)
– ทริปนี้สามารถขอใบกำกับภาษีได้
- พิเศษ Live พูดคุย ทำความรู้จัก พร้อมติวเข้มแนะนำสิ่งที่นักลงทุนต้องดูระหว่างทริป...
โลกในมุมมองของ Value Investor 2 กันยายน 2566
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
การโกงหรือฉ้อฉลในตลาดหุ้นนั้น เป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่ “VI” หรือนักลงทุนทั่วไปเองต้องระมัดระวังไม่ให้ “ถูกโกง” เพราะความเสียหายนั้นมักจะรุนแรงมาก บางครั้งก็เป็น “หายนะ” เพราะราคาหุ้นอาจจะตกลงมาเกิน 30-40% ขึ้นไป บางตัวหุ้นอาจจะกลายเป็น 0 เพราะบริษัท “ล้มละลาย” เนื่องจาก “ถูกจับ” ได้ อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้ว คนก็มักจะไม่รู้ว่าตนเอง “ถูกโกง” โดยคนโกงที่วางแผนการโกงอย่างแนบเนียนจนคนอื่นไม่รู้และไม่มีใครสนใจที่จะตรวจสอบ
การโกงอย่างแนบเนียนและมีศิลปะนั้น หลักการใหญ่ที่สำคัญก็คือ ต้องโกงคนจำนวนมากโดยที่แต่ละคนจะถูกโกงหรือเสียหายไม่มากพอที่จะฟ้องศาลหรือหน่วยงานอื่นที่จะเอาเงินคืน และนั่นก็คือ นักลงทุนหรือคนเล่นหุ้นที่มักจะเสียเงินหรือได้เงินจำนวนหนึ่งอยู่แล้วเป็นประจำในการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
ข้อสองก็คือ จะต้องพยายามทำให้คนถูกโกงไม่รู้ว่าตนเองถูกโกง แต่คิดว่าเป็นความผิดพลาดในการวิเคราะห์และประเมินมูลค่าของหุ้น ที่ดียิ่งกว่าก็คือคิดว่าสถานการณ์แวดล้อมทางเศรษฐกิจและธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปทำให้หุ้นที่ซื้อขาดทุนอย่างหนัก
สุดท้ายก็คือ การโกงนั้นทำได้ง่ายและมักไม่มีคนสงสัย และดังนั้นก็จะไม่มีคนมาจับ หรือถึงจะพยายามจับก็หาหลักฐานยากเพราะอาจจะอยู่ต่างประเทศ หรือถึงเจอก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการโกงอย่างชัดเจน
ทั้งหมดนั้น ก็นำไปสู่การโกงโดยการ “ปั่นหุ้น” ที่ “ดี” ในตลาดหลักทรัพย์ โดยหุ้นที่ “ดี” ดังกล่าวนั้น ก็จะเป็นหุ้นที่เล่นกันในหมู่นักลงทุน “VI ระดับเซียน” อาจจะเพราะว่ามันเป็นหุ้นที่ดีมากในสายตาของ VI ที่วิเคราะห์ดูพื้นฐานของกิจการและข้อมูลผลประกอบการที่ “ดียอดเยี่ยมและเติบโตอย่างน่าทึ่ง” โดยที่ข้อมูลทั้งหมดนั้น อาจจะไม่ใช่ของจริง ...
ทริปสัมมนา VVI: TOUR LEARN EARN MOREIN HO CHI MINH CITY
=========HIGHLIGHT✨
– Update สาระความรู้ ศึกษาธุรกิจ สภาพการแข่งขันหุ้นไปพร้อมกับการท่องเที่ยวเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญสุดของเวียดนาม
– เรียนรู้-แลกเปลี่ยนประสบการณ์การลงทุนกับเพื่อนนักลงทุน คุยกันสดๆ พร้อมใช้ชีวิตร่วมกันในต่างแดน
– พบบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น ถามตรงกับผู้บริหาร
– Company visit ชมธุรกิจ บริษัทที่น่าสนใจในตลาดหุ้น
สถานที่จัดสัมมนา Sheraton Saigon Hotel โรงแรมระดับ 5 ดาว กลางเมือง ทั้งสะดวกทั้งใกล้สถานที่สำคัญในการหาหุ้น และอาหารอร่อย
– อำนวยความสะดวกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเปิดพอร์ตตรงกับโบรกเกอร์ที่เวียดนาม
พิเศษ Live พูดคุย ทำความรู้จัก พร้อมติวเข้มแนะนำสิ่งที่นักลงทุนต้องดูระหว่างทริป ผ่าน Zoom ก่อนการเดินทาง
=========
ประกาศรายละเอียดทริป 6 ก.ย.VVI Membership เปิดรับก่อนพร้อมส่วนลด 8 ก.ย. (10.00 น.) เป็นต้นไปบุคคลภายนอก เปิดรับ 9 ก.ย. เป็นต้นไป
(กรุณาอย่าจองตั๋วเครื่องบินและรร.ก่อนสมัคร)