โลกในมุมมองของ Value Investor ตุลาคม 2566 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร การลงทุนแบบ “Passive” หรือลงทุนซื้อหุ้นโดยไม่ต้องเลือกหุ้นเป็นรายตัว  แต่อาศัยดัชนีหุ้นหรือเงื่อนไขบางอย่างเป็นตัวกำหนดในการซื้อหุ้น  ซื้อแล้วก็ถือพอร์ตการลงทุนนั้นไว้ยาวนานโดยที่อาจจะมีการปรับจำนวนหุ้นบ้างตามระยะเวลาและตามเกณฑ์ที่กำหนด  การทำแบบนี้มีข้อดีคือไม่ต้องใช้เวลาหรือความสามารถในการวิเคราะห์เลือกหุ้น  ทำให้ต้นทุนของการลงทุนลดลง  นอกจากนั้นก็มักจะช่วยลดความเสี่ยงเพราะมีการกระจายการลงทุนออกไปในหุ้นหลาย ๆ  ตัว  ตัวอย่างของการลงทุนแบบ Passive ชัดเจนก็เช่นการลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีตลาด  เช่น  ลงทุนใน SET50 หรือดัชนีที่รวมหุ้นใหญ่ที่สุด 50 ตัวในตลาดหลักทรัพย์ไทย หรือลงทุนในดัชนี S&P500 ในตลาดหุ้นสหรัฐ  เป็นต้น สถิติการลงทุนระยะยาวในดัชนีตลาดหุ้นหลัก ๆ ของประเทศนั้น  ดูเหมือนจะดีกว่าการลงทุนแบบที่มีคนหรือ “ผู้เชี่ยวชาญ” เป็นผู้เลือกซื้อ-ขายหุ้น  อานิสงค์ส่วนหนึ่งเพราะว่าต้นทุนในการจ้าง  “เซียนหุ้น” มาบริหารนั้นค่อนข้างจะแพง  เช่น  ปีละ 2-3% ของมูลค่าหุ้นในพอร์ตในแต่ละปี  เป็นต้น  นอกจากนั้นแล้วก็ยังดูเหมือนว่าคนเลือกหุ้นนั้น  ไม่ได้เป็นเซียนจริง  ทำผลการลงทุนแพ้ “ค่าเฉลี่ย” ซึ่งก็คือตัวดัชนีตลาดหุ้นนั่นเอง VI และนักลงทุนส่วนบุคคลจำนวนมากนั้น  มีความเชื่อว่าตนเองมีความสามารถและมีความยืดหยุ่นและกล้าเสี่ยงกว่านักลงทุนสถาบันที่เป็นมืออาชีพ ดังนั้น  เราจึงมักลงทุนเลือกหุ้นเองเป็นรายตัว  เรากล้าที่จะลงทุนในหุ้นไม่กี่ตัว เช่น  ตัวหลัก ๆ  เพียง 5-6 ตัว  ที่เราคิดว่าทำให้พอร์ตมีการกระจายหุ้นเพียงพอและไม่เสี่ยงเกินไป  ในขณะที่ผลตอบแทนของเราก็จะเพิ่มขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญได้ ในกลุ่มของคนที่เป็นนักเลือกหุ้นลงทุนเองนั้น ...
นักลงทุนในประเทศลงทะเบียนบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ใหม่ 172,695 บัญชีในเดือนกันยายนซึ่งเป็นจํานวนสูงสุดเป็นอันดับสองในรอบกว่าหนึ่งปี ตามข้อมูลของ Vietnam Securities Depository and Clearing Corporation (VSDC) ในเดือนนี้ องค์กรในประเทศได้เปิดบัญชีใหม่ 90 บัญชี VSDC กล่าว ณ เดือนกันยายน จํานวนบัญชีทั้งหมดของนักลงทุนรายย่อยในประเทศทะลุ 7.76 ล้านบัญชีเทียบเท่ากับมากกว่าร้อยละ 8 ของประชากร ในเดือนกันยายน นักลงทุนรายย่อยและองค์กรต่างชาติได้ลงทะเบียนบัญชีใหม่ 225 และ 28 บัญชีตามลําดับ ทําให้จํานวนบัญชีต่างประเทศทั้งหมดเป็น 42,711 บัญชี ตลาดหุ้นเวียดนามบันทึกไตรมาสที่3เป็นขาขึ้น โดยมีช่วงการซื้อขายพันล้าน-US-dollar ติดต่อกัน มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 11.2 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าและเพิ่มขึ้น 85.4 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 28.62 ล้านล้านดอง มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในตลาดหลักทรัพย์ Hồ Chí Minh (HoSE) และตลาดหลักทรัพย์ Hà Nội (HNX) อยู่ที่ VNĐ25.13 ล้านล้านและ VNĐ2.38 ล้านล้านในเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 12.7 เปอร์เซ็นต์และ 9.0 เปอร์เซ็นต์ month-on-month ตามลําดับ ในขณะเดียวกัน มูลค่าของแต่ละเซสชั่นในตลาดบริษัทมหาชนที่UPCoM สูงถึง VND1.10 ล้านล้าน ลดลง 11.3 เปอร์เซ็นต์ ตลาดหุ้นยังคงมีเงินทุนไหลเข้าอย่างต่อเนื่องในบริบทที่อัตราดอกเบี้ยลดลงอย่างรวดเร็ว และช่องทางการลงทุนอื่นๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์และพันธบัตรองค์กร ยังคงอ่อนลง HoSE กําลังพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ระบบการซื้อขายที่พัฒนาโดย Korea Exchange (KRX) เริ่มดําเนินการในปลายปี 2023 เพื่อให้แน่ใจว่าตลาดจะดําเนินงานได้อย่างราบรื่นอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ลงนามโดย HoSE และ KRX ในปี 2555 โครงการนี้คาดว่าจะนําผลิตภัณฑ์ใหม่ การซื้อขายและโซลูชันการชําระเงินมาสู่ตลาดหุ้นเวียดนาม เช่น การชําระบัญชี T 0 การขายชอร์ต และสัญญาออปชั่น สิ่งนี้จะสร้างหลักฐานในการแก้ปัญหาคอขวดและก้าวไปสู่การอัพเกรดตลาดจากพรมแดนไปสู่การเกิดใหม่ VVI Membership ดูรายละเอียดและสมัครได้ที่ https://class.vietnamvi.com หรือ ติดตามเราได้ที่ – Line :@vietnamvi คลิก https://lin.ee/Jy9n680 – facebook:  https://www.facebook.com/vvinvestor – Youtube:http://youtube.com/c/vietnamvi – E-mail: info@vietnamvi.com
โลกในมุมมองของ Value Investor    7 ตุลาคม 2566 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ตั้งแต่สิ้นเดือนสิงหาคม 2566 ถึง วันที่ 7 ตุลาคม 66 คิดเป็นเวลาเพียง เดือนกว่า  ดัชนีตลาดหุ้นไทยตกลงมาอย่างต่อเนื่องประมาณ 8% ไปแล้ว  อานิสงค์ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการตกลงมาอย่างแรงของดัชนีตลาดหุ้นอเมริกาเช่น ดัชนี S&P 500 ที่ตกลงมาประมาณ 4.4% และดัชนี NASDAQ ที่ตกลงมาประมาณ 4.3% ในช่วงเวลาเดียวกัน  โดยที่ดัชนีหุ้นอเมริกาที่ตกลงมาน่าจะมาจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางจนสูงขึ้นไปกว่า 5% ต่อปีไปแล้วและอาจจะมีโอกาสขึ้นต่อในอนาคตอีกด้วยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่ยังไม่ลดลงจนถึงจุดที่เหมาะสม แต่ความแตกต่างของตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ที่ว่า  ตั้งแต่ต้นปีมานั้น  ดัชนี S&P ยังบวกถึง 12.7% และ NASDAQ ยังบวกถึง 29.3% และยังเป็นระดับดัชนีที่ใกล้เคียงกับระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีมานี้  ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยนั้นยังต่ำกว่าดัชนีตอนต้นปีอยู่ถึง 13.8% และอยู่ในระดับประมาณเท่ากับเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ 1,438 จุด  สถานการณ์ตลาดหุ้นในช่วงเวลานี้สำหรับทั้งตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศเขาเรียกกันว่า  “เลือดนองตลาดหุ้น” เหตุผลของตลาดหุ้นไทยที่ตกลงมา  “ตามตลาดหุ้นต่างประเทศ” ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานั้น  ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญมากนัก ...
โลกในมุมมองของ Value Investor    30 กันยายน 2566 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทุกคนผมเชื่อว่าจะต้องเคยลงทุนในหุ้นบางตัวที่วงการนักลงทุนผู้มุ่งมั่นเรียกว่าเป็น  “หุ้นเปลี่ยนชีวิต”  นั่นก็คือหุ้นที่เขาลงทุนซื้อแล้ว  ราคาหรือมูลค่าของหุ้นปรับตัวขึ้นไปมากแบบ “มโหฬาร” บางทีเป็นหลาย ๆ  เท่าหรือถึง 10 เท่าในเวลาไม่นาน  อาจจะแค่ปีหรือสองปีหรือบางทีน้อยกว่านั้น  แล้วเขาก็ขายไปพร้อม ๆ  กับกำไรมหาศาล  ไม่ใช่เพราะว่าเขาลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมากเพียงอย่างเดียว  แต่เป็นเพราะเขายังใช้มาร์จินหรือใช้บล็อกเทรดที่ขยายกำไรได้อีกเป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัว  หลังจากการขายหุ้นออกไป  ชีวิตเขาก็เปลี่ยน  จากนักลงทุนธรรมดาก็กลายเป็น “เศรษฐี”  หุ้นตัวนั้นก็กลายเป็น  “หุ้นเปลี่ยนชีวิต” ของเขา หลังจากนั้น  หุ้นตัวนั้นก็ตกลงมาอย่างแรง  บางทีกลับมาเท่าเดิมตอนที่เขาซื้อหรือต่ำกว่า  เพราะสิ่งที่ขับเคลื่อนให้หุ้นขึ้นไปเช่นผลกำไรที่ดีเลิศและเรื่องราวในอนาคตที่สวยหรูไม่ได้ดำเนินต่อไปแต่กลับไปในทางตรงกันข้าม  กำไรของบริษัทที่เคยสูงหลุดโลกตกลงมามาก  บางทีกลายเป็นขาดทุน  อนาคตที่สวยหรูไม่เป็นไปตามที่คนเชื่อ  บางกรณีก็เกิดเหตุการณ์โกงหรือการหลอกลวงที่ปิดไว้ไม่อยู่อีกต่อไป  นักลงทุนขาดความมั่นใจขายหุ้นทิ้ง   ราคาหุ้นตกลงมาอย่างรุนแรงเกิน 70-80% กลายเป็น  “คอร์เนอร์แตก”  นักลงทุนจำนวนมากที่ขายหุ้นไม่ทัน  รวมถึงนักลงทุนที่ซื้อหุ้นไว้จำนวนมากและใช้มาร์จินแบบเดียวกับคนที่เป็นเศรษฐีไปแล้ว  ขาดทุนอย่างหนัก  บางคนชีวิตก็เปลี่ยนเหมือนกัน  แต่เปลี่ยนจากคน  “เคยรวย” เป็นคนธรรมดาหรือเป็นยาจก ดังนั้น  “หุ้นเปลี่ยนชีวิต” นั้น  ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นหุ้นที่ดีมาก  หรือเป็นหุ้นที่ดีตลอดหรือแม้แต่ดียาวนาน  และก็เช่นเดียวกัน  หุ้นที่เปลี่ยนชีวิตของคนบางคนก็อาจจะเป็น “หุ้นหายนะ” สำหรับคนอื่นและอาจจะเป็นคนจำนวนมากด้วยก็ได้  โดยเฉพาะถ้าหุ้นเปลี่ยนชีวิตตัวนั้นไม่ใช่เป็นหุ้น...
โลกในมุมมองของ Value Investor        23 กันยายน 2566 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร การเปลี่ยนแปลงแนวทางการคิดภาษีการลงทุนหุ้นต่างประเทศเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน  ซึ่งมีผลสำคัญก็คือ  ทำให้คนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศด้วยตนเองที่เริ่มมีมากขึ้นมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา  ซึ่งคิดว่าการลงทุนหุ้นต่างประเทศนั้น  “ไม่เสียภาษี” เหมือนการลงทุนในหุ้นไทย  ถ้าไม่นำเงินกลับมาในปีที่ขายหุ้น  นักลงทุนที่ไปนั้น  ส่วนใหญ่แล้วก็หวังที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทย  และต่างก็คิดว่าเงินที่นำออกไปลงทุนนั้น  จะเป็นการลงทุนระยะยาวถึงยาวมาก  เป็นการลงทุน “เพื่อชีวิต”  เป็นการลงทุน  “เพื่อการเกษียณ” หรืออย่างน้อยก็ลงทุนหลาย ๆ ปี  ต่างก็ “ช็อก” เพราะอยู่ ๆ  ก็มีประกาศว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป  คนที่นำเงินที่ได้จากการลงทุนในต่างประเทศกลับมาจะต้องเสียภาษีตามอัตราบุคคลธรรมดา  ซึ่งอาจจะเสียภาษีสูงสุดถึง 35% ที่ทำให้ช็อกกว่าก็คือ เกณฑ์การเสียภาษีใหม่นั้น  ถ้าคนที่ไปลงทุนอยู่แล้ว  ไม่ต้องการลงทุนต่อและจะนำเงินกลับมาทันทีเพื่อเลี่ยงที่จะเสียภาษีที่จะเริ่มใช้ในต้นปีหน้า    ส่วนใหญ่แล้วก็ทำไม่ได้  เพราะถ้าขายปีนี้เพื่อจะนำเงินกลับมาปีหน้าก็ทำไม่ทันแล้ว  สรุปก็คือ  เงินที่ออกไปแล้ว  ตอนนี้ก็เหมือนกับ  “ผู้ลี้ภัย” ที่ไม่สามารถกลับประเทศไทยที่เป็นเหมือน “บ้านเกิด” ได้  โดยเฉพาะถ้าออกไปแล้วทำผลตอบแทนได้ดีและมีกำไรมาก  เพราะถ้ากลับมาก็อาจจะโดนเก็บภาษีถึง 35%  หลายคนที่ประสบปัญหานี้ต่างก็คิดว่า  บางที ...
โลกในมุมมองของ Value Investor       16 กันยายน 2566 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผมเป็นคนที่ชอบอ่าน Quote หรือ “คำคม” ของคนที่มีชื่อเสียงโดยเฉพาะในเรื่องที่ผมสนใจ  ผมคิดว่ามันให้ข้อคิดที่ดีและทำให้เราจำได้เวลาที่ผมประสบกับเรื่องนั้น  ผมจะได้คิดตรึกตรองอย่างลึกซึ้งขึ้น  และ “คำคม” เกี่ยวกับการลงทุนก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมชอบและก็มักจะจำได้  แม้ว่าจะไม่ตรงกับคำพูดของคนนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์  แต่ผมก็มักจะจำเนื้อหาหลักของมันได้  ลองมาดูกันว่า  “เซียนหุ้น” หรือนักเลือกหุ้นชั้นนำเขาพูดหรือคิดอะไรกันบ้าง คนแรกที่ผมคิดและจดจำเสมอเวลาจะลงทุนในหุ้นแต่ละตัวก็คือคำคมของ วอเร็น บัฟเฟตต์ที่ว่า  “กฎข้อแรกของการลงทุนก็คือ  อย่าขาดทุน  และกฎข้อสองของการลงทุนก็คือ  อย่าลืมกฎข้อแรก  และนั่นก็คือกฎทั้งหมดที่มี” นี่เป็นกฎที่ดูไม่ได้มีอะไรโดดเด่น  เพียงแต่เป็นการเล่นคำ  อย่างไรก็ตาม  เพราะมันเป็นคำพูดของบัฟเฟตต์  เซียนหุ้นหมายเลข 1 ของโลก  มันจึงมีความหมายและกลายเป็นคำคมที่คนรู้จักมากที่สุด—แม้ว่าน้อยคนจะปฏิบัติติตามจริง ๆ สำหรับผมแล้ว  ผมคิดว่านี่เป็นหลักการที่ผมยึดถือมากที่สุด  ผมเชื่อว่าเขาพูดอย่างมีความหมายและจริงจัง  เบื้องหลังของมันก็คือ  การลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์ของบัฟเฟตต์ทุกครั้งจะต้องมีการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง  โดยเฉพาะในด้านที่ว่ามันจะมีโอกาสผิดพลาดและทำให้ขาดทุนในระยะยาวหรือไม่  ถ้ามี  เขาก็จะไม่ซื้อ  แม้ว่าโอกาสที่จะกำไรมหาศาลจะสูงกว่า  และนั่นก็เป็นเหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งว่าเขาจะลงทุนในหุ้นจำนวนน้อยตัวมากเมื่อเทียบกับนักลงทุนอื่นที่มีพอร์ตใหญ่เช่นกัน  และก็แทบจะไม่ขายหุ้นเลยหลังจากซื้อแล้ว   สิ่งที่ทำให้ผมเชื่อหลักคิดของบัฟเฟตต์ข้อนี้ก็คือ  สถิติการลงทุนของบัฟเฟตต์ในช่วงเวลากว่า 70 ปี ของเขานั้น  มีหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่เขาลงทุนและต้องขายขาดทุนน้อยมาก  ส่วนใหญ่แล้วหุ้นแต่ละตัวจะกำไรมหาศาลเนื่องจากเขาถือมายาวนาน  แน่นอนว่ามีหุ้นหลายตัวที่ “น่าผิดหวัง”และเขาต้องขายออกไป ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 9 กันยายน 2566 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร สมัยเริ่มเป็น VI ใหม่ ๆ คือประมาณ 30 ปีมาแล้ว  ผมเชื่อในหลักการลงทุนแบบที่เรียกว่า “Bottom Up” คือการลงทุนที่เน้นที่ตัวกิจการเป็นหลัก  และไม่ได้สนใจเรื่องของภาพใหญ่หรือที่เรียกว่าภาพ “Macro” ที่บอกว่าเราควรต้องเริ่มจากการวิเคราะห์ภาพของเศรษฐกิจ  และอุตสาหกรรมก่อนว่าเอื้ออำนวยแค่ไหน  จากนั้นจึงมาดูตัวบริษัทว่าเราควรลงทุนหรือไม่  บางคนเรียกการมองหาหุ้นแบบนี้ว่า  “Top Down” โดยที่แนวความคิดแบบนี้มาจากความเชื่อที่ว่า  ถ้าภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไม่เอื้ออำนวย  โอกาสที่บริษัทจะเจริญรุ่งเรืองก็จะยาก แนวความคิดเรื่องการลงทุนโดยไม่ต้องสนใจภาวะเศรษฐกิจเลยนั้น  VI จำนวนมากรวมถึงผมด้วยในยุคบุกเบิกของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยผมคิดว่าสิ่งสำคัญส่วนหนึ่งมาจากหนังสือการลงทุนยอดนิยมของปีเตอร์ลินช์  2 เล่มนั่นก็คือ  “One Up on Wall Street” และ “Beating the Street” ซึ่งปีเตอร์ลินช์บอกว่าการเลือกหุ้นลงทุนของเขานั้น  เขาแทบไม่อ่านและไม่สนใจเรื่องของการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจเลย  เขาบอกว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น  เราควรมองแต่เฉพาะตัวกิจการว่ามันจะเติบโตไปได้มากน้อยแค่ไหน  ดูจากสินค้าและความนิยมของลูกค้าในท้องตลาด  พูดง่าย ๆ  ฟังจาก “ชาวบ้าน” ดีกว่าฟังนักเศรษฐศาสตร์ ถัดจากปีเตอร์ ลินช์  หนังสือที่เขียนเกี่ยวกับแนวคิดและการลงทุนของวอเร็น บัฟเฟตต์ ก็ตามมา  ดูเหมือนว่าบัฟเฟตต์เองนั้น  ก็แทบไม่ได้ใส่ใจกับภาวะเศรษฐกิจหรือภาพใหญ่อะไรทั้งสิ้น  จริงอยู่ ...
Final
เปิดแล้วทริปสัมมนา VVI: Tour Learn Earn More in Ho Chi Minh Cityเที่ยวไป-หาหุ้นไป22-24 ต.ค. 2566 สมัครทริปสัมมนา VVI HCMC 2023 ได้เลยhttps://forms.gle/G2fvLSAecgfKP26Z7 =========HIGHLIGHT=========– ได้เวลาปิดจอ แล้วไปเที่ยวหาหุ้นเวียดนามกับ VVI – Update สาระความรู้ ศึกษาธุรกิจ สภาพการแข่งขันของหุ้นเวียดนามไปพร้อมกับการท่องเที่ยวเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญสุด Ho Chi Minh City – เรียนรู้-แลกเปลี่ยนประสบการณ์การลงทุนกับเพื่อนนักลงทุน คุยกันสดๆ พร้อมใช้ชีวิตร่วมกัน – พบบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น ถามตรงกับผู้บริหาร – Company visit ชมธุรกิจ บริษัทที่น่าสนใจในตลาดหุ้น - สถานที่จัดสัมมนา Sheraton Saigon Hotel โรงแรมระดับ 5 ดาว กลางเมือง ทั้งสะดวกทั้งใกล้สถานที่สำคัญในการหาหุ้น และอาหารอร่อย – อำนวยความสะดวกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเปิดพอร์ตตรงกับโบรกเกอร์ที่เวียดนาม – อิสระในการเดินทางและจองที่พัก (ยินดีช่วยจองที่พักและประสานการเดินทางสำหรับท่านที่ไม่คุ้นเคยกับเวียดนาม) – ทริปนี้สามารถขอใบกำกับภาษีได้ - พิเศษ Live พูดคุย ทำความรู้จัก พร้อมติวเข้มแนะนำสิ่งที่นักลงทุนต้องดูระหว่างทริป...
โลกในมุมมองของ Value Investor     2 กันยายน 2566 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร การโกงหรือฉ้อฉลในตลาดหุ้นนั้น  เป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่ “VI” หรือนักลงทุนทั่วไปเองต้องระมัดระวังไม่ให้ “ถูกโกง”  เพราะความเสียหายนั้นมักจะรุนแรงมาก  บางครั้งก็เป็น  “หายนะ”  เพราะราคาหุ้นอาจจะตกลงมาเกิน 30-40% ขึ้นไป  บางตัวหุ้นอาจจะกลายเป็น 0 เพราะบริษัท  “ล้มละลาย” เนื่องจาก “ถูกจับ” ได้  อย่างไรก็ตาม  ส่วนใหญ่แล้ว  คนก็มักจะไม่รู้ว่าตนเอง “ถูกโกง” โดยคนโกงที่วางแผนการโกงอย่างแนบเนียนจนคนอื่นไม่รู้และไม่มีใครสนใจที่จะตรวจสอบ การโกงอย่างแนบเนียนและมีศิลปะนั้น  หลักการใหญ่ที่สำคัญก็คือ  ต้องโกงคนจำนวนมากโดยที่แต่ละคนจะถูกโกงหรือเสียหายไม่มากพอที่จะฟ้องศาลหรือหน่วยงานอื่นที่จะเอาเงินคืน  และนั่นก็คือ นักลงทุนหรือคนเล่นหุ้นที่มักจะเสียเงินหรือได้เงินจำนวนหนึ่งอยู่แล้วเป็นประจำในการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ข้อสองก็คือ  จะต้องพยายามทำให้คนถูกโกงไม่รู้ว่าตนเองถูกโกง  แต่คิดว่าเป็นความผิดพลาดในการวิเคราะห์และประเมินมูลค่าของหุ้น  ที่ดียิ่งกว่าก็คือคิดว่าสถานการณ์แวดล้อมทางเศรษฐกิจและธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปทำให้หุ้นที่ซื้อขาดทุนอย่างหนัก สุดท้ายก็คือ  การโกงนั้นทำได้ง่ายและมักไม่มีคนสงสัย  และดังนั้นก็จะไม่มีคนมาจับ  หรือถึงจะพยายามจับก็หาหลักฐานยากเพราะอาจจะอยู่ต่างประเทศ  หรือถึงเจอก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการโกงอย่างชัดเจน ทั้งหมดนั้น  ก็นำไปสู่การโกงโดยการ  “ปั่นหุ้น”  ที่ “ดี” ในตลาดหลักทรัพย์  โดยหุ้นที่ “ดี” ดังกล่าวนั้น  ก็จะเป็นหุ้นที่เล่นกันในหมู่นักลงทุน  “VI ระดับเซียน” อาจจะเพราะว่ามันเป็นหุ้นที่ดีมากในสายตาของ VI ที่วิเคราะห์ดูพื้นฐานของกิจการและข้อมูลผลประกอบการที่  “ดียอดเยี่ยมและเติบโตอย่างน่าทึ่ง”  โดยที่ข้อมูลทั้งหมดนั้น  อาจจะไม่ใช่ของจริง ...
ทริปสัมมนา VVI: TOUR LEARN EARN MOREIN HO CHI MINH CITY =========HIGHLIGHT✨ – Update สาระความรู้ ศึกษาธุรกิจ สภาพการแข่งขันหุ้นไปพร้อมกับการท่องเที่ยวเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญสุดของเวียดนาม – เรียนรู้-แลกเปลี่ยนประสบการณ์การลงทุนกับเพื่อนนักลงทุน คุยกันสดๆ พร้อมใช้ชีวิตร่วมกันในต่างแดน – พบบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้น ถามตรงกับผู้บริหาร – Company visit ชมธุรกิจ บริษัทที่น่าสนใจในตลาดหุ้น สถานที่จัดสัมมนา Sheraton Saigon Hotel โรงแรมระดับ 5 ดาว กลางเมือง ทั้งสะดวกทั้งใกล้สถานที่สำคัญในการหาหุ้น และอาหารอร่อย – อำนวยความสะดวกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเปิดพอร์ตตรงกับโบรกเกอร์ที่เวียดนาม พิเศษ Live พูดคุย ทำความรู้จัก พร้อมติวเข้มแนะนำสิ่งที่นักลงทุนต้องดูระหว่างทริป ผ่าน Zoom ก่อนการเดินทาง ========= ประกาศรายละเอียดทริป 6 ก.ย.VVI Membership เปิดรับก่อนพร้อมส่วนลด 8 ก.ย. (10.00 น.) เป็นต้นไปบุคคลภายนอก เปิดรับ 9 ก.ย. เป็นต้นไป (กรุณาอย่าจองตั๋วเครื่องบินและรร.ก่อนสมัคร)

MOST POPULAR