โลกในมุมมองของ Value Investor 12 ตุลาคม 62
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ดวงลงทุน
จากประสบการณ์กว่า 20 ปีในตลาดหุ้น ผมเองคิดว่าตนเองนั้น “โชคดีมาก” ที่เข้าตลาดเริ่มลงทุนอย่างจริงจังและ “เพื่อชีวิต” นั่นคือทุ่มเทเงินทุกบาทลงทุนในหุ้น ในเวลาที่ถูกต้องและด้วยกลยุทธ์ที่ถูกต้องนั่นคือ ลงทุนแบบ “VI” ในยามที่ตลาดหุ้นเกิดวิกฤติ ราคาหุ้นตกลงมาอย่างหนักและแทบไม่มีใครสนใจจะลงทุนหรือพูดถึงตลาดหุ้นเลย ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันเพียงไม่เกิน 3-4 พันล้านบาท ผลที่ได้รับหลังจากเวลาผ่านไปกว่า 2 ทศวรรษก็คือ ชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างมาก ผลตอบแทนการลงทุนที่สูงจนแทบไม่น่าเชื่อทำให้กลายเป็นคนที่มีความมั่งคั่งสูงจากคนชั้นกลางกินเงินเดือนที่กำลังตกงานและไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องย้ายลูกจากโรงเรียนอินเตอร์ออกมาเรียนโรงเรียนไทยหรือไม่ ทั้งหมดนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดคิด ไม่ได้เกิดจากการวางแผนรวยจากตลาดหุ้น ว่าที่จริงในยุคนั้น มีแต่ตัวอย่างของคน “จนจากตลาดหุ้น” จนคิดฆ่าตัวตาย คนอาจจะคิดหลังจากที่ผมประสบความสำเร็จแล้วว่าผมน่าจะเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกล มองขาดว่าตลาดหุ้นจะฟื้นตัวและเติบโตขึ้นมากจนทำให้กล้าลงทุนและรวยไปเลย
ความเป็นจริงก็คือ ผมไม่ได้คิดว่าจะรวย ผมแค่คิดไปตามสถานการณ์ว่าหุ้นในขณะนั้นมีราคาถูกมาก หุ้นระดับที่น่าจะเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ในความหมายปัจจุบันที่มีราคาแพงลิ่วค่า PE 30-40 เท่าขึ้นไปนั้น ในตอนนั้นมีค่า PE แค่ 10 เท่า บางตัวจ่ายปันผลเกือบ 10% ต่อปี แต่ก็ไม่มีคนสนใจที่จะซื้อ เหตุผลก็เพราะว่าคนส่วนใหญ่ที่ “กล้าเสี่ยง” มากกว่าการฝากเงินในธนาคารหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลซึ่งจำนวนมากก็คือนักธุรกิจ ต่างก็ไม่มีเงินสดและจำนวนมากติดหนี้สินรุงรัง ส่วนคนกินเงินเดือนนั้น ส่วนมากก็ยังต้องผ่อนบ้านและรถ และคนที่มีเงินเก็บเป็นเงินสดนั้น น้อยคนที่จะกล้า “เล่นหุ้น” ที่เป็นกิจกรรมที่เสี่ยงที่สุดอย่างหนึ่งรองจากการเล่นม้าหรือเล่นการพนันในบ่อน และผมเองก็เป็นคนหนึ่งในนั้น ผมโชคดีที่ไม่ได้ซื้อทรัพย์สินใหญ่โตที่ต้องทำให้ผ่อนจนไม่มีเงินเหลือเก็บ ผมไม่เคยมีบ้านแต่อาศัยบ้านทางฝ่ายภรรยาอยู่ ผมไม่มีรถส่วนตัวแต่มีรถประจำตำแหน่งใช้ ผมทำงานในธุรกิจที่ให้เงินเดือนดีคือธุรกิจหลักทรัพย์ ผมเป็นคนประหยัดอดออมตั้งแต่เด็ก ดังนั้น แม้ว่าเงินเก็บจะไม่ได้มากเมื่อคำนึงถึงอายุที่สี่สิบกว่าปีแล้ว ผมก็มีเงินเก็บในระดับที่ใช้ได้ และนี่ก็คือความโชคดีข้อที่สอง
เหตุผลที่ผมกล้าที่จะเข้าลงทุนในยามที่ตลาดเลวร้ายที่สุดนั้นเป็นเพราะว่ามัน “จำเป็น” และผมดูแล้วว่าความเสี่ยงยอมรับได้ถ้าทำแบบ “VI” นั่นคือ “ลงทุนในหุ้นให้คิดและทำเหมือนลงทุนในธุรกิจ” เลือกธุรกิจที่ดี นั่นคือมีความสามารถในการแข่งขันหรือมียี่ห้อที่แข็งแกร่ง มีกำไรที่ดีและมั่นคง มีการจ่ายปันผล มีผู้บริหารที่ดีและไว้ใจได้ในความซื่อสัตย์...
โลกในมุมมองของ
Value Investor 6
ตุลาคม 62
ดร. นิเวศน์
เหมวชิรวรากร
ในยามที่ตลาดหุ้นไม่ค่อยดีและเป็นตลาดหุ้น Sideway มานานนั้น หุ้นที่น่าสนใจกลุ่มหนึ่งก็คือหุ้น Holding Company หรือหุ้นที่ถือหุ้นของบริษัทอื่นเป็นหลักหรือถือหุ้นบริษัทอื่นคิดเป็นมูลค่าจำนวนมากเมื่อเทียบกับกิจการที่บริษัททำ ถ้าเป็น Pure Holding Company อย่างบริษัทเบิร์กไชร์ของ วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น บริษัทจะไม่ทำกิจการอะไรเองเลยแต่จะเป็นแค่ผู้ถือหุ้นในบริษัทอื่น ๆ ในตลาดหุ้นไทยเองนั้นเท่าที่เห็นก็น่าจะมีหุ้นของ Intuch ที่ถือแต่หุ้นบริษัทอื่นเฉพาะอย่างยิ่งก็คือหุ้น Advanc เป็นหลัก เหตุผลก็คือ หุ้น Holding นั้นมักจะมีราคาหรือ Market Cap. ถูกกว่ามูลค่าของหุ้นที่บริษัทถืออยู่รวมกัน หรือเรียกว่ามี “Discount” ประมาณ 20-30% ดังนั้น ถ้าเราสนใจหุ้นของบริษัท “ลูก” เราก็ควรที่จะซื้อหุ้นบริษัท “แม่” แทน เพราะเราจะได้ส่วนลดถึง 25% เป็นต้น
ในตลาดหุ้นไทยนั้น บริษัทที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็น Holding Company ตั้งแต่แรกเลยนั้น น่าจะไม่มี
ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นว่าบริษัทจดทะเบียนตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจใหม่ที่ใกล้เคียงกันด้วยเหตุผลบางอย่าง หรือบางทีก็แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง แต่หลังจากเวลาผ่านไป บริษัทลูกกลับเติบโตขึ้นเร็วกว่าบริษัทแม่และต้องการเงินลงทุนจำนวนมากซึ่งทำให้บริษัทแม่นำบริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นด้วย
ต่อมามูลค่าของกิจการของบริษัทลูกก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนบางทีโตกว่าบริษัทแม่ก็มี สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นว่ามูลค่าหุ้นของบริษัทลูกที่บริษัทแม่ถืออยู่นั้น สูงกว่า...
โลกในมุมมองของ Value Investor 28 กันยายน 62
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
หุ้น Consumer
ในระยะหลัง ๆ นี้ หุ้นที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เริ่มที่จะมีหุ้นของบริษัทที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มียี่ห้อเป็นที่รู้จักของคนไทยมากขึ้น หลาย ๆ ยี่ห้อเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาด หุ้นบางตัวมี Market Cap. เกือบแสนล้านบาทหรือเคยมีขนาดเกือบแสนล้านบาทในช่วงสูงสุด หลายตัวก็ยังเป็นหุ้นตัวเล็กที่มีขนาดแค่หลักพันล้านบาทหรือหมื่นล้านต้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นี่คือหุ้นที่นักลงทุนเริ่มสนใจเข้ามาลงทุน เหตุผลสำคัญส่วนหนึ่งอาจจะเป็นว่าหุ้นเหล่านี้มักจะมีผลกำไรที่ดีและมั่นคงพอสมควรเมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่น การเติบโตหรือสตอรี่ที่จะเติบโตก็พอจะมีอยู่ ฐานะทางการเงินก็มักจะดีและมีหนี้ไม่มาก หลายบริษัทไม่มีหนี้เลย เหตุผลเพราะว่าบริษัทมักจะไม่ต้องลงทุนมากและขายสินค้าเป็นเงินสดหรือได้เงินเร็วในขณะที่จ่ายเงินให้เจ้าหนี้ช้ากว่า และสุดท้ายที่ทำให้หุ้นเหล่านี้บางตัว “ร้อนแรงมาก” ก็คือ มันเป็นหุ้นที่“มีเจ้าของ” หรือผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นผู้ก่อตั้งที่ต้องการให้หุ้นขึ้น สิ่งนี้เมื่อนำมาประกอบกับการที่หุ้นมี Free Float หรือหุ้นที่ถือโดยนักลงทุนน้อย ก็ทำให้หุ้นสามารถถูก Corner หรือต้อนเข้ามุมง่าย ผลก็คือ หุ้นขึ้นได้สูงมากและลงได้รุนแรงทำให้คนรวยหรือจนได้อย่างรวดเร็ว
หุ้นขายสินค้าอุปโภคบริโภคหรือหุ้น Consumer นั้น มีศักยภาพที่จะเป็น “หุ้น VI” ได้ด้วยเหตุผลที่ว่ามันสามารถที่จะสร้าง Durable Competitive Advantage (DCA) หรือความได้เปรียบที่ยั่งยืนได้ผ่าน “ยี่ห้อสินค้าที่โดดเด่น” ซึ่งทำให้ผู้บริโภคเลือกที่จะซื้อมากกว่าหรือยอมจ่ายราคาที่แพงกว่าเพราะติดในยี่ห้อ คุณภาพหรือภาพพจน์ของสินค้าในใจผู้บริโภคที่เหนือกว่านั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนยาก ดังนั้น บริษัทที่เป็นเจ้าของขายสินค้าเหล่านี้ก็มักจะสบายในการที่จะแข่งขัน คุณไม่ต้องทำอะไรมาก แค่รักษาภาพให้ดีผ่านการทำการตลาดมาตรฐาน ควบคุมการผลิตและการบริการไม่ให้ถดถอยด้อยลง คุณก็รักษายอดขายไว้ได้แล้ว—โดยเฉพาะใน “โลกธุรกิจยุคก่อน” ที่ยังไม่มีเรื่องของการ “ปฏิวัติทางเทคโนโลยี” ที่ทำลายธุรกิจเดิมจำนวนมาก ว่าที่จริงถ้าศึกษาเรื่องการลงทุนแบบ VI แนว วอเร็น บัฟเฟตต์มานานก็จะพบว่า เขาลงทุนในหุ้น Consumer ชั้นนำจำนวนมาก อาทิเช่น โค๊กและใบมีดโกนยิลเลตที่เขาทำกำไรได้สูงมาก และซอสมะเขือเทศไฮน์ที่เขาเพิ่งลงทุนไม่นานและดูเหมือนว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ เป็นต้น
หุ้น Consumer “ระดับโลก” นั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมคิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย หุ้นอย่างโค๊กหรือยิลเล็ตผมคิดว่ามันก็ยังเป็นบริษัทที่ยังอยู่ได้เช่นเดียวกับหุ้นของแม็คโดนัลด์หรือไนกี้ จริงอยู่ มันอาจจะไม่ถูก Disrupt หรือทำลายด้วยเทคโนโลยีใหม่ แต่การเติบโตของมันก็น่าจะน้อยถึงอิ่มตัวแล้ว ราคาหุ้นที่จะขึ้นไปหวือหวานั้นคงจะยากหรือแทบเป็นไปไม่ได้ ในขณะเดียวกันหุ้นของบริษัทที่ถูก Disrupt หรือกำลังถูกทำลายด้วยเทคโนโลยีหรือแนวทางการทำธุรกิจแบบใหม่ อย่างเช่นหุ้นที่ขายแผ่นซีดีหรือหนังสือพิมพ์ก็อาจจะล้มละลายในที่สุด ในทางตรงกันข้าม หุ้น Consumer รุ่นใหม่ที่เป็น “ผู้ชนะ” เช่นหุ้นแอ็บเปิลหรืออาลีบาบาที่อิงอยู่กับเทคโนโลยีใหม่ก็จะรุ่งเรืองเป็นซุปเปอร์สต็อกที่ “VI รุ่นใหม่” เสาะแสวงหาต่อไป
หุ้น Consumer ของไทยนั้น...
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ในเวียดนามได้ประสบปัญหาราคาไก่เลี้ยงตกต่ำ จนเหลือราคาราว 13,000 ดอง(56เซนต์)ต่อกิโลกรัม ซึ่ง Le Van Quyet รองประธานสมาคมเพาะพันธุ์ปศุสัตว์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เหตุผลว่า เพราะการเลี้ยงสุกรเกิดปัญหาโรคไข้หวัดหมูแอฟริกันระบาด ที่พบการระบาดตั้งแต่เดือนก.พ.ที่ผ่านมาและได้ระบาดไปทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ ซึ่งในตอนแรกนั้นส่งผลให้ราคาไก่สูงขึ้นถึง 40,000ดอง(1.73ดอลล่าร์ฯ) ด้วยจึงเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรจำนวนมากหันมาเลี้ยงไก่แทนสุกร ตามรายงานของเดือนนี้จำนวนไก่เลี้ยงในจ. Dang Nai เพิ่มขึ้น 24.8 ล้านตัว สูงขึ้น 16.8%จากเดือนเม.ย.ที่พบว่ามีสุกรติดโรคระบาดในจังหวัดนี้ Tran Van Quang หัวหน้าฝ่ายของ Livestock Breeding and Veterinary Department ของ จ.Dong Nai กล่าวว่ามีจำนวนสัตว์ปีกเพิ่มขึ้นเป็นหลักล้านในเดือนก่อนและมีฟาร์มไก่จำนวนหนึ่งที่ขยายตัว หากยังมีแนวโน้มเช่นนี้ต่อไปอาจทำให้บางธุรกิจต้องขาดทุนย่อยยับ ...
"วันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 62 "
รวมพลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับตลาดหุ้นเวียดนามปีใหม่
วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม เวลา 9.00-17.00 น. (เริ่มลงทะเบียน 8.30 น.)
ณ. โรงแรมเอเชีย (ติดรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี)
1 ปีมีเพียงคร้งเดียวเท่านั้น. พลาดแล้วต้องรออีก 1 ปี งานนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนทั้งเริ่มต้นและนักลงทุนที่ลงทุนมานานแล้วแต่ควรเป็นนักลงทุนระยะยาว ท่านจะพบกับกูรูผู้เชี่ยวชาญการลงทุนทั้งจากไทยและเวียดนาม โดยเฉพาะมุมมองต่อหุ้นเวียดนามที่โบรกเกอร์เวียดนามชอบ. แล้วมาฟังรายละเอียดเจาะลึกเป็นรายตัวจากนักลงทุนหุ้นเวียดนามไทย ท่านจะได้พบกับ
อ.ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากรAdministrator เพจ vvinvestor และทีมงานคุณภาคย์ภูมิ ศิริหงษ์ทอง คุณณัฐกิติ์ สุนทรบุระ บริษัทหลักทรัพย์-นักวิเคราะห์ทั้งจากไทยและเวียดนาม เป็นต้นกองทุนที่น่าสนใจที่ลงทุนตรงในเวียดนาม
พร้อมรับอาหารเที่ยงแบบบุฟเฟต์ร่วมกันและ 2 เบรคระหว่างสัมมนา. รายละเอียดการสัมมนา และ ค่าสมัครสัมมนา. จะแจ้งให้ทราบในวันที่ 10 ตุลาคม 2562 นี้ รับจำนวนจำกัด
โลกในมุมมองของ Value Investor 21 กันยายน 62
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ปัจจัยกำหนดทิศทางตลาดหุ้นปีหน้า
ช่วงเวลาใกล้สิ้นปีในแต่ละปี นักลงทุน “มืออาชีพ” ในตลาดหุ้นส่วนใหญ่แล้วก็มักจะพยายามคาดการณ์ทิศทางของตลาดหุ้นในปีหน้าว่าจะเป็นอย่างไรเพื่อที่จะกำหนดกลยุทธ์การลงทุนของตนเองว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีในปีหน้า สื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับการลงทุนก็มักจะถาม “กูรู” เพื่อที่จะเป็นแนวทางให้นักลงทุนทั่วไปในตลาดใช้สำหรับการลงทุน ส่วนใหญ่แล้วนักวิเคราะห์ก็จะบอกว่าปีหน้าดัชนีตลาดหุ้นน่าจะขึ้น ขึ้นมากหรือน้อยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะนักวิเคราะห์รวมถึงกูรูทั้งหลายนั้นต่างก็มักจะเป็นคนที่ “มองโลกในแง่ดี” และอาจจะมีแรงจูงใจที่จะชวนให้คนเข้าซื้อหุ้นผ่านบริษัทของตนหรืออยากให้คนมาซื้อหุ้นซึ่งทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นเป็นผลดีต่อทุกคนที่อยู่ในแวดวงตลาดหุ้น เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ถ้ามองยาว ๆ ย้อนไปในประวัติศาสตร์ก็จะพบว่าหุ้นมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ และให้ผลตอบแทนซึ่งส่วนใหญ่มาจากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึงประมาณ 10% ต่อปีแบบทบต้น ดังนั้น การคาดว่าหุ้นปีหน้าจะขึ้นจึงเป็นการคาดการณ์ที่น่าจะมีโอกาสถูกมากกว่าผิด
ผมเองก็เคยถูกถามเสมอ และก็ต้องตอบทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยมั่นใจว่าจะถูก เพราะหลาย ๆ ปัจจัยที่ผมใช้ในการคาดการณ์นั้น อิงกับทฤษฎีพื้นฐานของกิจการ “แนว VI” แต่ก็ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ดูคล้าย ๆ กับ“แนวเทคนิค” เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ มันไม่ได้มาจากการทำวิจัยที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากแต่มาจากการสังเกตในช่วงประมาณ 20 ปีที่อยู่ในตลาดหุ้นไทย และต่อไปนี้ก็คือ ปัจจัยที่กำหนดผลตอบแทนของตลาดหุ้นในปีหน้าหรือผลตอบแทนของการลงทุนที่เราจะได้รับในอนาคต ซึ่งก็จะเป็นการตอบคำถามที่ว่าตลาดหุ้นไทยน่าลงทุนไหมในภาวะปัจจุบัน ลงทุนแล้วเราจะได้รับผลตอบแทนที่ดีในอีกหนึ่งปีข้างหน้าหรืออาจจะอีก 2-3 ปีข้างหน้าหรือไม่
ปัจจัยแรกที่ผมคิดว่าสำคัญที่สุดที่จะบอกว่าตลาดหุ้นในตอนสิ้นปีน่าลงทุนไหม ปีหน้าหุ้นจะขึ้นดีไหมก็คือ ค่า PE ของตลาด เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ถ้าสิ้นปีค่า PE ของตลาดหุ้นต่ำหรือต่ำมาก เช่น ค่า PE ไม่ถึง 10 เท่า หรือถ้ายิ่งต่ำกว่านั้นเช่นแค่ 6-7 เท่า แบบนี้ผมคิดว่าการลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหรือลงทุนในดัชนีตลาดหุ้นน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมแบบ “ปิดประตูแพ้” ปีหน้าเราจะได้รับผลตอบแทนที่ดี แต่ถ้าปีหน้ายังไม่ดี ปีต่อไปอีกไม่เกิน 1-2 ปีก็จะต้องดีแน่ ดัชนีจะขึ้นไปมากและทำให้ผลตอบแทนโดยเฉลี่ยต่อปีที่เราถือหุ้นอยู่สูงจนน่าประทับใจ
สถานการณ์ที่ตลาดหุ้นมักจะเป็นแบบนั้นก็คือ เกิดภาวะวิกฤตตลาดหุ้นที่ทำให้ราคาหรือดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาหนักมาก...
โลกในมุมมองของ Value Investor 14 กันยายน 62
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมมีเพื่อนนักลงทุนที่บริหารเฮดจ์ฟันด์คนหนึ่งชื่อ Petri Deryngหรือที่ผมและเพื่อนนักลงทุน VI ไทยกลุ่มหนึ่งเรียกว่าเพตทรี เขาบริหารกองทุนชื่อ PYN ELITE ซึ่งจดทะเบียนที่ฟินแลนด์ประเทศบ้านเกิดของเขา แต่กองทุนอีลิทฟันด์นั้น ตั้งแต่ตั้งกองทุนในปี 1999 ก็ลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก เริ่มจากตลาดหุ้นไทยที่ลงทุนนานถึงประมาณ 13-14 ปี และตามมาด้วยจีนและเวียตนามและล่าสุดเหลือแต่ที่เวียตนามซึ่งเขาลงทุนมา 6-7 ปีแล้ว ปีนี้เป็นปีครบรอบ 20 ปีของการก่อตั้งกองทุน และก็เป็นปีแห่งการ “เฉลิมฉลอง” ความสำเร็จในระดับต้น ๆ ของกองทุนอีลิทเทียบกับกองทุนในฟินแลนด์และยุโรป ผลงานการลงทุนนั้นสามารถทำได้ถึงประมาณ 18.2% ต่อปีแบบทบต้น หรือเท่ากับเงินลงทุนเริ่มต้นโตขึ้นถึงประมาณ 28 เท่าในเวลา 20 ปี ซึ่งน่าจะถือว่าเป็นสถิติ “สุดยอด” กองทุนหนึ่ง ว่าที่จริงตัวเลข 18% นั้นคือหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าบริหารกองทุนที่มี Profit Sharing หรือผู้บริหารได้รับส่วนแบ่งถ้ากองทุนทำผลตอบแทนได้เหนือกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ผลตอบแทนที่เพตทรีทำได้ต่อปีจากการลงทุนจริง ๆน่าจะประมาณ 21% แบบทบต้น
การเริ่มลงทุนในตลาดต่างประเทศซึ่งก็คือประเทศไทยในปี 1999 นั้นเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดตั้งแต่แรก เพราะในเวลานั้น ตลาดหุ้นไทยตกลงมาหนักมากเนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจในปี 1997 ดัชนีหุ้นไทยที่เคยสูงสุดถึงกว่า 1,750 จุดในช่วง 4-5 ปีก่อนหน้านั้นลดลงเหลือเพียง363 จุดในวันที่เขาเริ่มลงทุน ซึ่งเขาตั้งเป้าว่าตลาดหุ้นจะปรับขึ้นไปถึง 1,200 จุด ในเวลาอาจจะแค่ 3-4 ปี ซึ่งต่อมาเขาได้ปรับขึ้นเป็น 1400 จุดเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวและดีขึ้นมาก และนี่ก็น่าจะเป็น “กฎข้อที่หนึ่ง” ของเขาที่ว่า เขาจะหาตลาดหุ้นที่ถูกมากซึ่งอาจจะเกิดจากภาวะวิกฤติที่ทำให้หุ้นตกลงมาอย่างหนักและเขาเชื่อว่ามันจะต้องฟื้นตัวในหลายปีข้างหน้า เขาจะเข้าซื้อหุ้นที่เป็น Value Stock ที่มีราคาถูกมากวัดจากค่าPE และ PB ที่ต่ำเช่นไม่เกิน 10 เท่าและ 1 เท่าตามลำดับ ถือไว้จนราคาหุ้นขึ้นไปถึงเป้าหมายแล้วก็จะขายทิ้ง
เพตทรีเป็นนักลงทุนแนว “VI พันธุ์แท้” ที่มีวินัยสูง...
ปรากฎการณ์ ACV ตก กับ อุ๋ย 100 จุด ความเหมือนและความแตกต่าง
สักครู่มี inbox ถามแอดมินว่าทำไมหุ้นสนามบินเวียดนาม ACV ตกหนัก (ร่วงกว่า 12%) .. น่ากลัวขนาดนี้?
เลยขอยกมุมมองจากเพื่อนที่ทำงานในตลาดหลักทรัพย์เวียดนามมาเล่าสู่กันฟังดังนี้ค่ะ
"จากข่าวลือว่า : รัฐบาลจะซื้อหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติคืนทั้งหมด"
มุมมองแรก :
ข่าวลือเป็นจริง รัฐบาลจะซื้อหุ้นคืนจากนักลงทุนต่างชาติ ในราคาเฉลี่ย 60 วัน
เค้ามองว่า Dragon Capital นักลงทุนต่างชาติใหญ่สุดใน ACV ที่ซื้อหุ้นมาตั้งแต่ IPO ทำกำไรแล้วหลายเด้ง น่าจะเห็นความผันผวนไม่แน่นอนของนโยบายแล้วอาจจะขายหุ้น และมี นลท. อื่นๆ ขายตามด้วยตามข่าวลือ
มุมมองที่สอง :
รัฐบาลไม่มีวันถอยหลังเข้าคลองแบบนั้น เพราะที่ผ่านมาเงินค่าบำรุงรักษารันเวย์ยังไม่ค่อยมี แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อหุ้นคืน
อีกทั้งตอนนี้ยังไม่มีรายงานที่ได้รับการยืนยัน
แต่ที่สำคัญที่สุดคือหากรัฐบาลทำจริงมันเหมือนการไล่นักลงทุนต่างชาติ (ที่ปัจจุบันถือหุ้น 3.62% ) ออกไปไม่ใช่เฉพาะจาก ACV แต่มันจะดูเหมือนการไล่ออกจากเวียดนามด้วย ดังนั้นคิดว่าข่าวลือนี้จะไม่เป็นจริง
แอดมินคิดว่านักลงทุนหลายๆ ท่านจะชอบ หุ้นสนามบินเวียดนาม ACV มาก และการบินเวียดนามก็โตกระฉูดในช่วงที่ผ่านมา
แต่ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน …การกระจายความเสี่ยงจึงมีความสำคัญค่ะ
ส่วนอุ๋ยร้อยจุด...
โลกในมุมมองของ Value Investor 7 กันยายน 62
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เล่นหุ้นกระจุก VS ลงทุนกระจาย
คำถามสำคัญข้อหนึ่งที่นักลงทุนทุกคนจะต้องตอบให้ได้ ก่อนที่จะเริ่มต้นเข้ามาลงทุนอย่างจริงจังก็คือ เราจะลงทุนในทรัพย์สินประเภทไหน และอย่างละประมาณเท่าไร? นี่คือคำถามสำคัญ ข้อแรกที่จะบอกว่าเราจะมีความเสี่ยงแค่ไหน
โดยหลักการแล้ว ถ้าเราลงทุนในทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวหรือน้อยอย่าง เช่น ลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว ความเสี่ยงก็จะสูงกว่าการลงทุนในหุ้นบวกกับพันธบัตร เป็นต้น แต่ในขณะเดียวกัน โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนก็อาจจะสูงกว่าด้วย สำหรับผมซึ่งเติบโตมาด้วยหุ้นและคิดว่าสามารถเลือกหุ้นลงทุนที่ปลอดภัยพอสมควร ผมเลือกที่จะลงทุนในหุ้นแทบจะอย่างเดียว ทรัพย์สินอื่นที่มีรวมทั้งหมดน่าจะไม่เกิน 5% ของความมั่งคั่งทั้งหมด นี่ไม่นับเงินสดที่บางครั้งก็มีมาก บางครั้งเป็นสิบหรือหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ถือเพื่อรอซื้อหุ้นเท่านั้น แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว การกระจายการถือทรัพย์สินหลาย ๆ อย่างซึ่งมักจะรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ด้วยนั้น จะช่วยลดความเสี่ยงได้ดี อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนการลงทุนโดยรวมก็จะไม่สูงมาก การที่จะหวัง “รวยจากการลงทุน” อย่างรวดเร็วก็เป็นไปได้ยาก เขาควรจะหวังว่าจะ “รวยจากการทำงาน” มากกว่า
สำหรับคนที่เลือกลงทุนในหุ้นอย่างมีนัยสำคัญนั้น คำถามสำคัญก็คือ เราจะเลือกลงทุนในหุ้นกี่ตัวในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง? ยิ่งลงทุนในหุ้นน้อยตัวเช่น ถือหุ้นตัวเดียวหรือบางทีเรียกว่าเล่นหุ้นทีละตัว เราก็มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงขึ้นและอาจจะรวยไปเลยถ้าเราเลือกหุ้นถูกตัว นี่ก็คล้ายกับเจ้าของบริษัท ที่เอาหุ้นเข้าตลาดที่เหมือนกับถือหุ้นเพียงตัวเดียวในพอร์ต ถ้ากิจการหรือหุ้นดีมาก เจ้าของก็รวยเป็น “เศรษฐีหุ้น” แต่ถ้ากิจการไม่ดีหรือเลือกหุ้นผิดตัว ก็อาจจะขาดทุนหรือเจ๊งได้เหมือนกัน ดังนั้น ความเสี่ยงก็จะสูง
ตรงกันข้าม ถ้าลงทุนแบบกระจายการถือหุ้นหลาย ๆ ตัวหรือซื้อหุ้นทั้งตลาดผ่านการถือกองทุนรวมอิงดัชนี โอกาสที่พอร์ตจะได้ผลตอบแทนสูงลิ่วก็มักจะลดลงและลดลงเรื่อย ๆ ตามจำนวนหุ้นที่ถือ อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะขาดทุนจากหุ้นมาก ๆ หรือเจ๊งเลยนั้นก็มักจะต่ำมาก เหตุผลก็เพราะเมื่อมีหุ้นมากขึ้น ผลตอบแทนของแต่ละตัวก็มักจะเฉลี่ยหรือหักกลบลบกันไป โอกาสที่ทุกตัวจะดีพร้อมกันหรือแย่พร้อมกันก็มีน้อย ผลลัพธ์ก็คือ เราก็มักจะได้ผลตอบแทนดีพอใช้...
ทำความรู้จักหุ้นในดัชนี VN30 ที่ DR “E1VFVN3001” ไปอ้างอิง ผ่านการลงทุนใน ETF E1VFVN30 โดยนักลงทุนสามารถซื้อได้ในตลาดหุ้นไทย ชื่อหุ้นคือ E1VFVN3001 เลย กันดีกว่าค่ะว่าประกอบไปด้วยหุ้นอะไรบ้าง…ที่น่าสนใจคือในดัชนี VN30 ประกอบไปด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมถึง 11 กลุ่ม! ทำให้เราสามารถกระจายการลงทุนได้มากจริงๆ ค่ะ
1. Consumer Staples
VNM : Vietnam Dairy Products Joint Stock Companyประกอบธุรกิจผลิตนม นมข้นหวาน นมผง โยเกิร์ต ไอศกรีมชีส และน้ำ-ดื่มบรรจุขวดVNM ถูกจัดเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม Consumer Staples โดยบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่า 50%บริษัทจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม และเครื่องดื่มให้ทั้งลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ โดยรายได้ในประเทศถือเป็นสัดส่วน 85.4% ของรายได้รวมทั้งหมด
MSN: Masan Group Corporation
ให้บริการธุรกิจอาหาร และเครื่องดื่ม รวมถึงผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายเนื้อสัตว์มีสัดส่วนถึง 70% ของรายได้ทั้งหมดและมีบริษัทอื่น ๆ ในเครือประกอบธุรกิจธนาคาร และขุดเจาะเหมืองแร่
SAB: Saigon Beer Alcohol Beverage Corporation
ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ สุรา โซดา...