เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ในเวียดนามได้ประสบปัญหาราคาไก่เลี้ยงตกต่ำ จนเหลือราคาราว 13,000 ดอง(56เซนต์)ต่อกิโลกรัม ซึ่ง Le Van Quyet รองประธานสมาคมเพาะพันธุ์ปศุสัตว์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เหตุผลว่า เพราะการเลี้ยงสุกรเกิดปัญหาโรคไข้หวัดหมูแอฟริกันระบาด ที่พบการระบาดตั้งแต่เดือนก.พ.ที่ผ่านมาและได้ระบาดไปทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ ซึ่งในตอนแรกนั้นส่งผลให้ราคาไก่สูงขึ้นถึง 40,000ดอง(1.73ดอลล่าร์ฯ) ด้วยจึงเป็นแรงจูงใจให้เกษตรกรจำนวนมากหันมาเลี้ยงไก่แทนสุกร ตามรายงานของเดือนนี้จำนวนไก่เลี้ยงในจ. Dang Nai เพิ่มขึ้น 24.8 ล้านตัว...
"วันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 62 "
รวมพลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับตลาดหุ้นเวียดนามปีใหม่
วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม เวลา 9.00-17.00 น. (เริ่มลงทะเบียน 8.30 น.)
ณ. โรงแรมเอเชีย (ติดรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี)
1 ปีมีเพียงคร้งเดียวเท่านั้น. พลาดแล้วต้องรออีก 1 ปี งานนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนทั้งเริ่มต้นและนักลงทุนที่ลงทุนมานานแล้วแต่ควรเป็นนักลงทุนระยะยาว ...
โลกในมุมมองของ Value Investor 21 กันยายน 62
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ปัจจัยกำหนดทิศทางตลาดหุ้นปีหน้า
ช่วงเวลาใกล้สิ้นปีในแต่ละปี นักลงทุน “มืออาชีพ” ในตลาดหุ้นส่วนใหญ่แล้วก็มักจะพยายามคาดการณ์ทิศทางของตลาดหุ้นในปีหน้าว่าจะเป็นอย่างไรเพื่อที่จะกำหนดกลยุทธ์การลงทุนของตนเองว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีในปีหน้า สื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับการลงทุนก็มักจะถาม “กูรู” เพื่อที่จะเป็นแนวทางให้นักลงทุนทั่วไปในตลาดใช้สำหรับการลงทุน ส่วนใหญ่แล้วนักวิเคราะห์ก็จะบอกว่าปีหน้าดัชนีตลาดหุ้นน่าจะขึ้น ขึ้นมากหรือน้อยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะนักวิเคราะห์รวมถึงกูรูทั้งหลายนั้นต่างก็มักจะเป็นคนที่ “มองโลกในแง่ดี” และอาจจะมีแรงจูงใจที่จะชวนให้คนเข้าซื้อหุ้นผ่านบริษัทของตนหรืออยากให้คนมาซื้อหุ้นซึ่งทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นเป็นผลดีต่อทุกคนที่อยู่ในแวดวงตลาดหุ้น เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ถ้ามองยาว ๆ ย้อนไปในประวัติศาสตร์ก็จะพบว่าหุ้นมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ และให้ผลตอบแทนซึ่งส่วนใหญ่มาจากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึงประมาณ 10% ต่อปีแบบทบต้น ดังนั้น...
โลกในมุมมองของ Value Investor 14 กันยายน 62
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมมีเพื่อนนักลงทุนที่บริหารเฮดจ์ฟันด์คนหนึ่งชื่อ Petri Deryngหรือที่ผมและเพื่อนนักลงทุน VI ไทยกลุ่มหนึ่งเรียกว่าเพตทรี เขาบริหารกองทุนชื่อ PYN ELITE ซึ่งจดทะเบียนที่ฟินแลนด์ประเทศบ้านเกิดของเขา แต่กองทุนอีลิทฟันด์นั้น ตั้งแต่ตั้งกองทุนในปี 1999 ก็ลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก เริ่มจากตลาดหุ้นไทยที่ลงทุนนานถึงประมาณ 13-14 ปี และตามมาด้วยจีนและเวียตนามและล่าสุดเหลือแต่ที่เวียตนามซึ่งเขาลงทุนมา 6-7 ปีแล้ว ปีนี้เป็นปีครบรอบ 20 ปีของการก่อตั้งกองทุน และก็เป็นปีแห่งการ “เฉลิมฉลอง” ความสำเร็จในระดับต้น ๆ ของกองทุนอีลิทเทียบกับกองทุนในฟินแลนด์และยุโรป ผลงานการลงทุนนั้นสามารถทำได้ถึงประมาณ 18.2% ต่อปีแบบทบต้น หรือเท่ากับเงินลงทุนเริ่มต้นโตขึ้นถึงประมาณ...
ปรากฎการณ์ ACV ตก กับ อุ๋ย 100 จุด ความเหมือนและความแตกต่าง
สักครู่มี inbox ถามแอดมินว่าทำไมหุ้นสนามบินเวียดนาม ACV ตกหนัก (ร่วงกว่า 12%) .. น่ากลัวขนาดนี้?
เลยขอยกมุมมองจากเพื่อนที่ทำงานในตลาดหลักทรัพย์เวียดนามมาเล่าสู่กันฟังดังนี้ค่ะ
"จากข่าวลือว่า : รัฐบาลจะซื้อหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติคืนทั้งหมด"
มุมมองแรก :
ข่าวลือเป็นจริง รัฐบาลจะซื้อหุ้นคืนจากนักลงทุนต่างชาติ ในราคาเฉลี่ย 60...
โลกในมุมมองของ Value Investor 7 กันยายน 62
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เล่นหุ้นกระจุก VS ลงทุนกระจาย
คำถามสำคัญข้อหนึ่งที่นักลงทุนทุกคนจะต้องตอบให้ได้ ก่อนที่จะเริ่มต้นเข้ามาลงทุนอย่างจริงจังก็คือ เราจะลงทุนในทรัพย์สินประเภทไหน และอย่างละประมาณเท่าไร? นี่คือคำถามสำคัญ ข้อแรกที่จะบอกว่าเราจะมีความเสี่ยงแค่ไหน
โดยหลักการแล้ว ถ้าเราลงทุนในทรัพย์สินเพียงอย่างเดียวหรือน้อยอย่าง เช่น ลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว ความเสี่ยงก็จะสูงกว่าการลงทุนในหุ้นบวกกับพันธบัตร เป็นต้น แต่ในขณะเดียวกัน โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนก็อาจจะสูงกว่าด้วย สำหรับผมซึ่งเติบโตมาด้วยหุ้นและคิดว่าสามารถเลือกหุ้นลงทุนที่ปลอดภัยพอสมควร ผมเลือกที่จะลงทุนในหุ้นแทบจะอย่างเดียว ทรัพย์สินอื่นที่มีรวมทั้งหมดน่าจะไม่เกิน 5% ของความมั่งคั่งทั้งหมด นี่ไม่นับเงินสดที่บางครั้งก็มีมาก...
ทำความรู้จักหุ้นในดัชนี VN30 ที่ DR “E1VFVN3001” ไปอ้างอิง ผ่านการลงทุนใน ETF E1VFVN30 โดยนักลงทุนสามารถซื้อได้ในตลาดหุ้นไทย ชื่อหุ้นคือ E1VFVN3001 เลย กันดีกว่าค่ะว่าประกอบไปด้วยหุ้นอะไรบ้าง…ที่น่าสนใจคือในดัชนี VN30 ประกอบไปด้วยกลุ่มอุตสาหกรรมถึง 11 กลุ่ม! ทำให้เราสามารถกระจายการลงทุนได้มากจริงๆ ค่ะ
1. Consumer Staples
VNM...
ข่าวพาดหัว
ผมก็ กระจายการลงทุน บางส่วนไปประเทศที่ยังไม่แก่เหมือนเมืองไทยเมื่อ20 ปีที่แล้ว
Administrator - 0
สังคมคนแก่กับการลงทุน โลกในมุมมองของValue Investor 31 สิงหาคม62
ดร.นิเวศน์เหมวชิรวรากร
ในฐานะของVI ที่เน้นการลงทุนระยะยาวนั้น สิ่งที่ผมจะต้องวิเคราะห์ก็คือภาพของประเทศ ผู้คน ภาวะทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ในตลาดหุ้นที่ผมจะลงทุนว่าจะเป็นอย่างไรในอนาคต สิ่งที่ผมจะต้องดูเป็นพิเศษก็คือ เศรษฐกิจจะโตขึ้นมากน้อยแค่ไหน บริษัทจะมีรายได้และกำไรมากขึ้นเท่าไรและบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมไหนจะดี และกลุ่มไหนจะแย่ในอีกซัก10 ปีข้างหน้าและต่อจากนั้น
สำหรับประเทศไทยและตลาดหุ้นไทยนั้น ช่วงที่ผมเริ่มลงทุน ในตลาดเต็มตัวเมื่อกว่า20 ปีโดยเฉพาะหลังภาวะวิกฤติเศรษฐกิจปี2540 นั้น ผมไม่ได้กังวลกับ“ภาพใหญ่” ของประเทศไทยเลยทั้งๆ ที่ดูเหมือนว่าประเทศไทย “กำลังล่มสลาย” และไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ในยามที่เกือบทุกบริษัทมีหนี้สินล้นพ้นตัวและกำลังจะล้มละลาย เหตุผลคงเป็นเพราะว่าเมื่อเศรษฐกิจตกต่ำลงมาอย่างหนักและการส่งออกสินค้าที่ถดถอยลงอย่างแรงผ่านไป มันก็เริ่มฟื้นตัวอย่างแรง การผลิตถูกขับเคลื่อนโดยการลงทุนสร้างโรงงานก่อนหน้านั้น บวกกับกำลังแรงงานที่มีเหลือเฟือและค่าแรงต่ำซึ่งทำให้การส่งออกของไทยมีความได้เปรียบในตลาดโลกและอานิสงค์จากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงไปมาก บวกกับความต้องการบริโภคของคนในประเทศที่กำลังพุ่งขึ้นอานิสงค์จากรายได้ที่สูงขึ้นและอัตราดอกเบี้ยที่ลดต่ำลงมากซึ่งทำให้คนชั้นกลางที่ไม่เคยเป็นหนี้หรือมีหนี้น้อยสามารถกู้เงินใช้จ่ายได้สูงกว่าปกติมาก ผลก็คือ เศรษฐกิจกลับมาเติบโตค่อนข้างแรงและบริษัทโดยเฉพาะที่เน้นการขายสินค้าแก่ผู้บริโภคภายในประเทศเติบโตขึ้นมหาศาล บริษัทเหล่านี้กลายเป็นหุ้นจดทะเบียนที่นำให้ดัชนีตลาดหุ้นเติบโตต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
แต่5-6 ปีที่ผ่านมานั้น ดูเหมือนว่าทุกๆ อย่างที่พูดถึงนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงไป คนกลุ่มใหญ่มากในสังคมกลุ่มหนึ่งที่เกิดในยุคเบบี้บูมซึ่งรวมถึงผมเองนั้นเริ่มถึงเวลาเกษียณอายุคือ60 ปี ถ้าผมจำไม่ผิด เด็กที่เกิดในช่วงเวลานั้นน่าจะมีเกือบล้านคนต่อปีโดยเฉลี่ย เพื่อนๆรุ่นเดียวกับผมนั้นมักจะมีพี่น้องประมาณ5-6 คน ผมซึ่งมีพี่น้องเพียง3 คนนั้นถือว่าน้อยมาก ดังนั้น การที่พวกเขาบางคนเกษียณอายุจึงทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจชะลอตัวลงแม้ว่าจะมีคนรุ่นใหม่เติบโตขึ้นมาแทนที่ อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่ที่เกิดและจะเกิดมาแทนที่นั้น กำลังลดลงอย่างแรง จากปีหนึ่งเกิดล้านคนก็ลดลงเหลือปีละ700,000 คนและคงจะลดลงไปเรื่อยๆ อีกนาน ครอบครัวของคนไทยรุ่นใหม่นั้นมักจะต้องการมีลูกน้อยมาก เฉลี่ยประมาณ1.5 คนจำนวนมากบอกว่าไม่ต้องการมีลูกเลย ทั้งหมดนี้ทำให้ตัวเลขคนไทยที่เป็นแรงงานหรือทำงานนั้นเพิ่มขึ้นน้อยลงเรื่อยๆ และภายใน10 ปีก็จะลดลง ไทยกำลังเข้าสู่ภาวะสังคมคนแก่แบบสมบูรณ์เหมือนอย่างที่ญี่ปุ่นเป็นมากว่า10-20 ปีแล้ว
ใน“สังคมคนแก่” อย่างที่ญี่ปุ่นหรืออีกหลายประเทศเป็นนั้น สิ่งที่เห็นก็คือ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมักจะถดถอยลงอย่างช้าๆ แต่ต่อเนื่องเศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นน่าจะแทบไม่โตเลยเป็นเวลาน่าจะเกิน20 ปีแล้ว เหตุผลนั้นชัดเจนเพราะว่าคนน้อยลงก็น่าจะผลิตน้อยลง เช่นเดียวกับที่คนแก่ตัวลงก็มักจะไม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการผลิตได้มากนัก บางทีแค่ประคองให้มีประสิทธิภาพเท่าเดิมก็ทำได้ยากแล้ว ดังนั้น สำหรับไทยเอง ผมคิดว่าเราอาจจะไม่สามารถเติบโตทางเศรษฐกิจได้เร็วอย่างที่เคยเป็นมาอีกต่อไปแล้ว ห้าถึงหกปีที่ผ่านมาที่เราโตแค่3-4% ต่อปีโดยเฉลี่ยน่าจะเป็นสัญญาณว่าสังคมเราเริ่มแก่ตัวลง มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกหรือปัญหาการเมืองหรืออะไรในประเทศไทยเลยก็ได้ และเมื่อเศรษฐกิจโตช้าลง—ในระยะยาว ตลาดหุ้นซึ่งเป็นตัวสะท้อนภาวะเศรษฐกิจเองนั้นก็มักจะเติบโตช้าตามกันไป ตัวอย่างจากญี่ปุ่นก็เห็นได้ชัดว่าดัชนีตลาดหุ้นนิเกอินั้น Sideway มาเป็นสิบๆปีและอยู่ที่ประมาณ20,000 จุดในช่วงเร็วๆ นี้และไม่เคยขึ้นไปแตะที่จุดสูงสุดตลอดกาลที่38,000 จุดที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ30 ปีมาแล้ว ดังนั้น สำหรับตลาดหุ้นไทยเอง ผมคิดว่าเราคงจะหวังให้ดัชนีตลาดหุ้นเติบโตสูงแบบเดิมคงเป็นไปได้ยาก
เรื่องของการลงทุนโดยเฉพาะการสร้างโรงงานผลิตสินค้านั้น ผมก็คิดว่าจะมีน้อยลงไปเรื่อยๆ ในระยะยาว เหตุผลก็คือ โรงงานโดยเฉพาะในประเทศไทยที่ไม่ได้มีเทคโนโลยีสูงนั้น จำเป็นต้องใช้คนมากและจะต้องมีค่าแรงต่ำเพื่อที่จะสามารถแข่งขันได้ แต่นี่คือสิ่งที่เราขาด ดังนั้น คนที่คิดว่าเราจะมีการขยายตัวของการลงทุนเพื่อการผลิตมากขึ้นและธุรกิจที่เกี่ยวข้องเช่น การผลิตสินค้าและนิคมอุตสาหกรรมจะเติบโตมากนั้นผมคิดว่าจะต้องคิดใหม่ จริงอยู่ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น การลงทุนก็อาจจะมากขึ้นได้ แต่ในระยะยาวแล้ว มันคงไปไม่ไหว ไทยไม่น่าจะสามารถเติบโตทางด้านการผลิตได้เร็วและมากอีกต่อไป
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคบริการน่าจะเป็นทางออกสำหรับสังคมที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ใช่ทุกภาคส่วน จำนวนคนที่เกิดน้อยลงมากในช่วงก่อนหน้านี้จนถึงขณะนี้ก็ส่งผลอย่างเห็นได้ชัดแล้วเช่นเรื่องของการศึกษา ซึ่งเราได้เห็นการปิดตัวของโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงระดับมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง ที่ยังไม่ปิดก็อยู่อย่างยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ และน่าจะถึงจุดใกล้วิกฤติโดยเฉพาะมหาวิทยาลัยเอกชน โชคดีที่การท่องเที่ยวของไทยนั้นเติบโตดีอานิสงค์จากการท่องเที่ยวของคนจีนและอินเดียที่อยู่ใกล้ ทำให้ภาคการท่องเที่ยวจะเป็นภาคที่เติบโตเพื่อที่จะรองรับสังคมของคนที่แก่ตัวมากขึ้น นี่ก็คงคล้ายๆกับญี่ปุ่นที่ขณะนี้ต้องอาศัยการท่องเที่ยวมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจของตนจากที่ในอดีตนั้นค่อนข้าง“ปิด” ไม่ยอมให้ใครเข้าไป “วุ่นวาย” ในประเทศ
อสังหาริมทรัพย์จะเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่โตอีกต่อไปในยามที่จำนวนคนเพิ่มน้อยหรือลดลง ความต้องการที่ลดลงบวกกับ“สต็อก” ของบ้านที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากบ้านนั้นสร้างเสร็จแล้วก็สามารถอยู่ได้เป็นหลายๆ สิบปี ดังนั้น ถ้าเราเห็นอสังหาริมทรัพย์ซบเซาลงช่วงนี้ก็อย่าไปหวังว่ามันจะ“ฟื้นขึ้นแรง” ในปีต่อๆ ไป มันอาจจะถึงจุดที่ค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ ตลอดไปแล้วก็ได้ และนี่ก็อาจจะรวมไปถึงห้างร้านและช็อปปิ้งมอลทั้งหลายที่ต้องอาศัยคนเข้าไปจับจ่ายซื้อสินค้า ซึ่งถ้าคนที่มีเงินและพร้อมจับจ่ายสินค้ามีน้อยลงเพราะคนแก่ตัวลงและคนเกิดใหม่มีน้อยลง การเติบโตของร้านค้าเหล่านั้นก็จะถึงจุดที่ค่อยๆ ลดลงตลอดไป แน่นอนว่าคนที่เข้าห้างบางส่วนก็อาจจะเป็นนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้น แต่ที่จะสามารถทดแทนคนในประเทศเองนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อาจจะยกเว้นก็คือร้านค้าที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จริงๆที่อาจจะยังอยู่ไปได้เรื่อยๆ ตราบที่การท่องเที่ยวของเรายังดีอยู่
เรื่องของInnovation หรือการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ หรือความคิดใหม่ๆ ต่างๆ ที่เราเชื่อกันว่าจะเป็นสิ่งที่นำเราให้พัฒนาก้าวหน้าต่อไปในทางเศรษฐกิจเองนั้น ผมก็คิดว่าทำได้ไม่ง่ายเนื่องจากจำนวนคนรุ่นหนุ่มสาวที่จะเป็นผู้นำทางด้านการคิดค้นและทำธุรกิจStartup มีน้อยลง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าอาจจะเป็นเรื่องของวัฒนธรรมของสังคมที่ยังถูกครอบงำโดยความคิดของคนรุ่นก่อนที่มีจำนวนมากและยังเป็นผู้นำทางสังคมและการเมืองอยู่ ซึ่งทำให้สังคมไทยยังเป็นสังคมอนุรักษ์นิยมสูง คนไม่ค่อยกล้าที่จะคิดนอกกรอบในขณะที่ขนบธรรมเนียมดั้งเดิมจะได้รับการส่งเสริม ผลก็คือ ความคิดสร้างสรรค์และความกล้าที่จะทำสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นน้อย และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เรายังไม่มีสตาร์ทอัพที่เป็น“ยูนิคอร์น” เลย ทั้งๆที่ระดับการพัฒนาและขนาดเศรษฐกิจของไทยนั้นอยู่เหนือกว่าอีกหลายๆ ประเทศหลักในอาเซียน และนี่ก็ทำให้ผมนึกถึงญี่ปุ่นที่ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ มานานมากหลังจากยุค“วอล์คแมน” ของโซนี่ทั้งๆที่เป็นประเทศยิ่งใหญ่อันดับ2 และ3 ของโลกมานาน
ทั้งหมดนั้นก็คือปัญหาของความแก่ซึ่งผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะแก้ได้อย่างไร ในด้านของส่วนตัวเองนั้น สิ่งที่ทำก็คือการพยายามรักษาสุขภาพและหาวิธี“ลดอายุ” ในส่วนของการลงทุนเองนั้น ผมก็กระจายการลงทุนบางส่วนไปประเทศที่ยังไม่แก่และอยู่ในวัยฉกรรจ์และกำลังเติบโตเหมือนเมืองไทยเมื่อ20 ปีที่แล้ว .....
————————————-
สนใจ กระจายการลงทุน บางส่วนไปประเทศที่ยังไม่แก่และอยู่ในวัยฉกรรจ์และกำลังเติบโตเหมือนเมืองไทยเมื่อ20 ปีที่แล้ว อ่านต่อ
นักลงทุนสนใจหุ้นกลุ่มไหนในประเทศเวียดนาม
เศรษฐกิจเวียดนามดีฝ่าปัจจัยบาทแข็งไหวไหม
ทริปสัมมนา TOUR LEARN EARN MORE IN HO CHI MINH
Agoda ผู้ให้บริการจองที่พักออนไลน์ชั้นนำได้ใช้ข้อมูลการจองห้องพักสำหรับการเดินทางระหว่างวันที่ 31 ส.ค. ถึงวันที่ 3 ก.ย. เพื่อประเมิน ปลายทางต่างประเทศที่ได้รับความนิยมมากที่สุด 10 อันดับแรกของนักเดินทางชาวเวียดนามในช่วงวันหยุดวันชาติ (ตรงกับวันที่ 2 ก.ย.) พบว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่ง รองลงมาคือสิงคโปร์ และบาหลี
ในปี 2561 มีชาวเวียดนามราว 1 ล้านคน เดินทางเยือนไทย...
10 ดีลแห่งทศวรรษ ของเวียดนาม
M&A ในเวียดนามนักลงทุนไทยมาแรงสงสุด ปิดจ๊อบติด 5 ดีล จาก 10 ดีลแห่งทศวรรษ ในตำนาน M&A แห่งทศวรรษของเวียดนาม ได้แก่ ดีล 1. ThaiBev -M&A- Sabecoดีล 2. Central Group -M&A- Big Cดีล 3.Singha -M&A-...
























