โลกในมุมมองของ Value Investor       28 กรกฎาคม 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร The Postman Always Ring Twice ​ปรากฏการณ์ที่หุ้น  “นางฟ้า”  ขนาดเล็ก-กลาง ที่เคยร้อนแรงราคาพุ่งขึ้นเป็นหลาย ๆ  เท่าตัวในเวลาไม่นานแต่แล้วก็ตกลงมาอย่างหนักเกินกว่า 50% หรือบางตัวกลับมาที่ราคาเดิมและกลายเป็น  “นางฟ้าตกสวรรค์”  จนคนหลายคน “เลิกเล่น” หรือ “สาปส่ง” ไปเลยทำให้หุ้นเหงาไปพักใหญ่  แต่แล้วในช่วงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์มานี้ หุ้นหลายตัวในกลุ่มก็เริ่มกลับมาคึกคักใหม่  ราคาปรับตัวขึ้นอย่างแรงพร้อมกับปริมาณซื้อขายที่คึกคัก  ดูเหมือนว่าคนที่เคยเล่นทั้ง “ขาเล็ก” และ “ขาใหญ่” กำลังกลับมา  สตอรี่และการเติบโตของบริษัทที่เคยขายได้ในช่วงก่อนหน้านั้นที่ถูกทำลายโดยผลประกอบการที่น่าผิดหวังกำลังถูกรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่  ประกอบกับผลประกอบการที่น่าจะ “ดีขึ้น” ในไตรมาศล่าสุด  น่าจะเป็นแรงกระตุ้นที่อาจจะทำให้หุ้นกลับมาเป็น  “นางฟ้า” ใหม่  ทั้งหมดนั้นอยู่ภายใต้ Background ของตลาดหุ้นที่ดีขึ้น  ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้น  และนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้าตลาดหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งที่รอคอยกันมานาน ​นั่นทำให้ผมนึกถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เคยดูตอนไปเรียนที่อเมริกาใหม่ ๆ เมื่อเกือบ 40 ปีมาแล้วชื่อ  The Postman Always Ring Twice ซึ่งฉายผ่านช่อง HBO หรือ Cinemax ผมก็จำไม่ได้  หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีฉากเซ็ก(แบบซาดิสม์)และความรุนแรงที่ในยุคนั้นดูเหมือนว่าจะต้องดูได้เฉพาะผู้ใหญ่และดูกันตอนดึกผ่านช่องทีวีที่ต้องจ่ายเงินรายเดือน  เนื้อเรื่องก็จะเป็นเรื่องชู้สาวระหว่างลูกจ้างหนุ่มที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้ากับภรรยาสาวสวยของเจ้าของร้านอาหารที่เป็นชายแก่  ซึ่งในที่สุดก็ร่วมกันวางแผนฆ่าสามีเพื่อหวังอยู่กินกันและเป็นเจ้าของร้านอาหารเอง  รอบแรกของการพยายามฆ่าโดยการทุบด้วยลูกเหล็กห่อผ้านั้นเกิดความผิดพลาดแต่ในครั้งที่สองก็ทำสำเร็จโดยแสร้งว่าเป็นอุบัติเหตุรถยนต์  และแม้ว่าตำรวจจะสงสัยแต่ก็ไม่มีหลักฐานพอ  เมื่อทั้งสองอยู่กินกันแล้ว  วันหนึ่งก็เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ทำให้ฝ่ายหญิงถึงแก่ความตาย  คราวนี้ตำรวจสามารถ “พิสูจน์” ให้ศาลยอมรับว่าฝ่ายชายเป็นคนฆ่าทั้ง ๆ  ที่ไม่จริง  และเขาถูกตัดสินประหารชีวิต  ถ้าคิดแบบคนไทย  นี่ก็เหมือนกับว่าเป็นการ “ใช้กรรม” ที่ไปฆ่าสามีของเขา  เพราะถึงจะรอดจากคราวก่อน  ในที่สุดก็ต้องชดใช้กรรมที่ไม่ได้ก่อในคราวนี้ ​ในหนังไม่มีบทของบุรุษไปรษณีย์ตามชื่อเรื่อง  แต่เป็นเรื่องที่ว่าสิ่งต่าง ๆ  นั้น  ถ้ามันจะเกิดบางทีก็ “หนีไม่พ้น”  สามีที่เป็นเจ้าของร้านนั้นโดนวางแผนฆ่าครั้งแรกก็ไม่ตาย  แต่สุดท้ายก็ไม่รอดเพราะมันต้องมี  “ครั้งที่สอง”  ตัวเอกที่ฆ่าคนแล้วรอด  สุดท้ายก็ต้องถูกประหารในครั้งที่สองแม้ว่าจะไม่ผิดในคดีนี้  นี่เป็นที่มาของชื่อหนังที่มีความหมายว่าบุรุษไปรษณีย์เวลามาส่งเมล์ลงทะเบียนนั้น  เขาจะต้องกดออดหรือสั่นกระดิ่งอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่สองเพื่อให้แน่ใจว่ายังไงเจ้าของบ้านก็จะต้องได้ยินและออกมารับเมล์เสมอ  นี่ก็คล้ายกับการเปรียบเปรยว่า  บุรุษไปรษณีย์ก็เหมือนพระเจ้าหรือโชคชะตาที่จะมาตัดสินกรรมของคนเสมอ   ​ผมเองคงประทับใจกับเนื้อเรื่องและโดยเฉพาะชื่อหนังเรื่องนี้พอสมควร  ประสบการณ์ในชีวิตก็มักจะพบกับสิ่งที่จะต้องเกิดซ้ำสองหรืออาจจะมากกว่านั้นโดยเฉพาะในเรื่องของหุ้นและการลงทุน  เหตุผลน่าจะเป็นเรื่องของจิตวิทยาของคนที่มักจะจำในสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเร็ว ๆ  นี้...
โลกในมุมมองของ Value Investor 21 กรกฎาคม 62 ก่อนที่จะเข้าไปวิเคราะห์หุ้นที่จะลงทุน สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะทำก่อนเพื่อเป็นการประหยัดเวลาและไม่ทำให้ “หลงผิด” ไปกับหุ้นก็คือ การตรวจสอบว่าบริษัทและตัวหุ้นนั้นมีอะไรที่ “ผิดปกติ” หรือไม่? โดยที่ความผิดปกตินั้น อาจจะเป็นได้ทั้งการที่บริษัททำได้ดีกว่าปกติหรือแย่กว่าปกติเมื่อเปรียบเทียบกับสถานะของบริษัทหรือ “ธรรมชาติ” ของอุตสาหกรรม หรือไม่ก็เป็นการผิดปกติในด้านของราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นที่อาจจะมากเกินกว่าขนาดของ Market Cap. หรือเป็นเรื่องของมูลค่าของหุ้นที่อาจจะใหญ่โตจน “เป็นไปไม่ได้” เป็นต้น และถ้าจะว่าไปแล้ว อะไรก็ตามที่ผมรู้สึกว่า “ผิดปกติ” ผมก็จะเก็บความคิดนั้นไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนตัวเองว่า เราอาจจะมีโอกาสวิเคราะห์หุ้นตัวนั้นผิดได้ เราจะต้องระมัดระวังมากขึ้น การ “จับผิด” ตัวหุ้นที่เห็นได้ง่ายและชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดวันต่อวัน หุ้นตัวไหนที่มีปริมาณการซื้อขาย “มากกว่าปกติมาก” นั้นน่าจะวัดจากปริมาณการซื้อขายหุ้นเทียบกับ Market Cap. ของหุ้นของบริษัท โดยทั่วไป...
จัดอันดับม.ปลายดีที่สุดในโลก เวียดนาม แซงขึ้น ส่วนไทยอันดับร่วง OECD ได้ทำการเปิดเผยข้อมูลจากรายงาน Universal Basic Skills What Countries Stand To Gain ซึ่งได้มีการวิเคราะห์และจัดอันดับระบบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายใน 76 ประเทศทั่วโลก และพบว่ามี 20 ประเทศอันดับแรก ที่สามารถจัดระบบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายดีที่สุดในโลก ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ อันดับ 1 ประเทศสิงคโปร์ อันดับ 2 เกาะฮ่องกง อันดับ 3 ประเทศเกาหลี อันดับ 4 ประเทศญี่ปุ่น อันดับ 5 ประเทศไต้หวัน อันดับ 6 ประเทศฟินแลนด์ อันดับ 7 ประเทศเอสโตเนีย อันดับ 8 ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ อันดับ 9 ประเทศเนเธอร์แลนด์ อันดับ 10 ประเทศแคนาดา อันดับ 11 ประเทศโปแลนด์ อันดับ 12 ประเทศเวียดนาม ***** อันดับ 13 ประเทศเยอรมนี อันดับ 14 ประเทศออสเตรเลีย อันดับ 15 ประเทศไอร์แลนด์ อันดับ 16 ประเทศเบลเยียม อันดับ 17 ประเทศนิวซีแลนด์ อันดับ 18 ประเทศสโลวีเนีย อันดับ 19...
++ Final Call- 5 วันสุดท้ายก่อนปิดรับ ++ ทริปสัมมนา Tour-Learn-Earn more in Ho Chi Minh City จัดโดย VVI GROUP ร่วมกับ Viet Capital Securities (VCSC) ในวันที่ 28-30 กรกฏาคม 2562 Update สาระความรู้หุ้นเวียดนาม ศึกษาธุรกิจ สภาพการแข่งขันหุ้นเวียดนามไปพร้อมกับการท่องเที่ยวเมืองโฮจิมินห์ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจของเวียดนาม สนใจคลิ๊ก:http:// https://forms.gle/BV3Ww6vJh7Kh3bDc9
หุ้นโรงไฟฟ้า ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร โลกในมุมมองของ Value Investor       ​ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้  หุ้นที่มีจำนวนมากขึ้นและมี Market Cap. ขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ไทยก็คือหุ้นที่ผลิตไฟฟ้าจำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าและผู้ใช้ทั้งในและต่างประเทศ  ผมจะเรียกง่าย ๆ  ว่า “หุ้นโรงไฟฟ้า” ซึ่งในระยะหลัง ๆ  นี้ก็กลายเป็นกลุ่มหุ้นที่มีความโดดเด่นมากขึ้นเรื่อย ๆ   เหตุผลก็คงเป็นเพราะว่าราคาของหุ้นกลุ่มนี้มีการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วจนแทบจะกลายเป็น “หุ้นนางฟ้า” ทั้ง ๆ  ที่ก่อนหน้านี้ภาพของหุ้นโรงไฟฟ้าก็คือเป็นหุ้น  “Defensive” ที่มีผลการดำเนินงานสม่ำเสมอไม่ผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นมากนัก  เช่นเดียวกับราคาหุ้นที่มักจะไม่ค่อยปรับตัวไปไหนไกล  ไม่เหมาะกับนักเก็งกำไรที่ต้องการทำเงินอย่างรวดเร็ว  คนที่ลงทุนในหุ้นโรงไฟฟ้ามักคาดหวังที่จะได้ผลตอบแทนจากปันผลพอ ๆ  กับหรือมากกว่ากำไรจากราคาหุ้น  ซึ่งโดยทั่วไปก็มักจะได้ผลตอบแทนรวมไม่เกิน 10-20% ต่อปี  อย่างไรก็ตาม  ช่วงนี้หุ้นโรงไฟฟ้าเปลี่ยนไป  ดูเหมือนว่ามันกำลังทำตัวเหมือน “Super Stock” ที่ทำให้เจ้าของบางคนกลายเป็นมหาเศรษฐีระดับต้น ๆ  ของเมืองไทย  มาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น ​ ข้อแรกก็คือ  บริษัทที่ผลิตไฟฟ้าขายนั้น  เริ่มที่จะเข้าไปผลิตไฟ้ฟ้าจากพลังงานทดแทนที่สะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น พลังงานแสงแดด...
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร การประกาศของ Facebook ที่จะสร้างเงินดิจิตอลชื่อ Libra และนำออกใช้ในต้นปีหน้านั้นเป็นเรื่องที่ทำให้โลก “ตะลึง”  คนจำนวนมากเชื่อว่า Libra จะประสบความสำเร็จและจะเป็นการ “ปฏิวัติโลกการเงิน” ที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง  จริงอยู่ว่าคนตะลึงมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ Bitcoin ซึ่งเป็นเงินดิจิตอลรุ่นแรกที่สร้างขึ้นโดยคนที่ชื่อ “ซาโตชิ นากาโมโต” ถูก “ปั่น” ขึ้นมาจนมีราคาสูงมโหฬารซึ่งทำให้คนสนใจเข้ามาเรียนรู้ศึกษากันทั่วโลก  คนจำนวนมากคิดว่าในที่สุด Bitcoin จะกลายเป็นเงินสกุลใหม่ที่จะมีการใช้กันอย่างแพร่หลายเพราะมันสามารถลดต้นทุนในการดำเนินการเช่นการโอนเงินผ่านระบบอินเตอร์เน็ตโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางที่มีต้นทุนสูงเช่นระบบแบ้งค์ เป็นต้น  นอกจากนั้น  มันยังเป็นระบบที่มีความปลอดภัยสูง  ไม่มีใครหรือรัฐบาลไหนสามารถที่จะขโมยหรือออกนโยบาย เช่น พิมพ์หรือสร้างเงินเพิ่มขึ้นมาซึ่งจะทำลายมูลค่าของเงินนั้นได้  อย่างไรก็ตาม  นับจนถึงวันนี้  Bitcoin ก็ยังไม่สามารถที่จะสร้างการยอมรับของสังคมธุรกิจ  มีร้านค้าที่จะรับเงินบิทคอยน์น้อยมาก  และแม้แต่คนหรือบริษัทที่ต้องการโอนเงินระหว่างกันข้ามประเทศก็ไม่โอนผ่านบิทคอยน์  ดูเหมือนว่าคนที่สนใจและเข้าไปเกี่ยวข้องกับบิทคอยน์จริง ๆ นั้นก็คือ  “นักเก็งกำไร” ที่เข้าไปเทรดบิทคอยน์เท่านั้น ปัญหาของบิทคอยน์ก็คือ  ราคาหรือมูลค่าของบิทคอยน์นั้นผันผวนมาก  วันหนึ่งอาจจะเปลี่ยนไปหลาย ๆ เปอร์เซ็นต์  ช่วงเวลาแค่ไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือนราคาอาจจะขึ้นไปเป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัว  ถ้าจะเอามาเป็นเครื่องมือในการซื้อขายสินค้าหรือบริการ  คนที่ซื้อและขายก็จะมีความเสี่ยงมาก  เพราะวันที่ตกลงราคาซื้อขายกับวันที่จะต้องชำระเงินห่างกัน  มูลค่าที่คิดจากเงินตราของท้องถิ่นซึ่งเป็นฐานของต้นทุนการผลิตสินค้าจะเปลี่ยนไปมาก  ทำให้คนที่เข้าไปทำสัญญาซื้อขายอาจจะขาดทุนหรือกำไรได้โดยไม่เกี่ยวกับเรื่องของธุรกิจ   การที่ราคาบิทคอยน์ขึ้นลงรุนแรงนั้น  ก็เป็นเพราะมันไม่ได้มี  “พื้นฐาน”  ของกิจการรองรับเหมือนอย่างหุ้น  หรือมีประเทศที่เป็น “ผู้ออกสกุลเงิน” มารองรับ...
เศรษฐกิจเวียดนามยังดี…ฝ่าปัจจัยบาทแข็งไหวไหม ผ่านไปใกล้จะครึ่งปี นักลงทุนยังให้ความสนใจ DR ตัวแรกของไทยอย่างล้นหลามนะคะ โดย Market Cap ของ E1VFVN3001 โตมากกว่า 2 เท่าจากตอน IPO เมื่อปลายปี 61 มาอยู่ที่ราว 1.5 พันล้านบาท ณ ปลายเดือน พ.ค.62 …แม้ผลตอบแทนจากต้นปีจะยังไม่ดีนัก โดยติดลบไปราว 3% ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากราว 5% เมื่อเทียบกับเงินดองของเวียดนาม (ในขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นแข็งค่าเพียง 0.5% เทียบกับค่าเงินดอง) ส่วนดัชนี VN30 ที่อ้างอิงหุ้นชั้นนำ 30 ตัวแรกของเวียดนามที่ DR ได้ไปอ้างอิงนั้น ยังบวกได้ราว 2% จากต้นปีค่ะ เมื่อพิจารณาสัดส่วนของหุ้นในแต่ละกลุ่มในดัชนี VN30 จะพบว่ากลุ่มธนาคาร กลุ่มสินค้าบริโภคจำเป็น และกลุ่มอสังหาฯ มีสัดส่วนมากที่สุดคือ 30% 22% และ 19% ตามลำดับ...
เตรียมพบกับ ทริปสัมมนา Tour-Learn-Earn more in Ho Chi Minh Cityจัดโดย VVI GROUP ร่วมกับ Viet Capital Securities (VCSC)ในวันที่ 28-30 กรกฏาคม 2562 สนใจคลิ๊กhttps://forms.gle/BV3Ww6vJh7Kh3bDc9 Update สาระความรู้ ศึกษาธุรกิจ สภาพการแข่งขันหุ้นเวียดนาม ไปพร้อมกับการท่องเที่ยวเมืองโฮจิมินห์ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจของเวียดนามโปรแกรมเบื้องต้น-----28 ก.ค.เดินทางสู่ Ho Chi Minh City ด้วยตัวเอง (ก่อนการเดินทางจะมีการจัดกลุ่มท่านที่จองตั๋วไฟล์ทเดียวกันให้มาด้วยกัน)17.00: พบกันที่ Lobby โรงแรมWalking Tour (ระยะทางเดินรวมประมาณ 3-4 กิโลเมตร)สถานที่สำคัญใน Ho Chi Minh City อาทิ ไปรษณีย์กลางไซ่ง่อน โบสถ์นอร์ทเธอดาม ตลาดเบนถั่น รวมทั้งห้างร้านต่างๆ เช่น Vincom Retail (หุ้น VRE)(ค่าอาหารมื้อนี้ไม่รวมในค่าสัมมนา) 29 ก.ค.9.00 : กล่าวต้อนรับและแนะนำโปรแกรมสัมมนา9.15: Update ภาพรวมตลาดหุ้นเวียดนาม จากมุมมองนักวิเคราะห์ชาวเวียดนาม10.15: พักรับประทานอาหารว่าง10.30:...
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ดอกเบี้ยหรือผลตอบแทนทบต้นนั้น  ไอน์สไตน์(อีกแระ) บอกว่าเป็น “สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก” เพราะเมื่อเงินทองหรือหุ้นให้ผลตอบแทนเป็นบวกในปีนี้  ถ้าเราเอาผลตอบแทนที่ได้ไปทบกับเงินต้นในตอนต้นปี  ปีหน้าเงินต้นก็จะเพิ่มขึ้น  เช่น  ถ้าผลตอบแทนเท่ากับ 10% ต่อปี  เงินต้นของปีต่อไปก็กลายเป็น 110 บาทจากเดิม 100 บาท  และถ้าเราได้ผลตอบแทนปีที่สองอีก 10%  จากเงินต้น 110 บาท  ก็เท่ากับว่าเราได้ผลตอบแทน 11 บาท  เมื่อนำมันมาทบกับเงินต้น 110 บาทก็จะกลายเป็นเงินต้นใหม่ 121 บาทในปีที่ 3  และถ้าเราทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ  เป็นเวลายาวนาน  เงินต้นที่เริ่มจาก 100 บาทก็จะกลายเป็นเงินก้อนโตมหาศาล   เช่น  ถ้าเราลงทุน 100 บาทและได้ “ผลตอบแทนแบบทบต้น”  คือเอาเงินกำไรกลับไปลงทุน  ไม่มีการถอนเงินออกเลย เฉลี่ยปีละ 10%  ภายใน 7.2 ปี เงินของเราก็โตขึ้นเท่าตัวเป็น 200 บาท ถ้าลงทุน 14.4 ปี  เงินก็จะเพิ่มอีกเท่าตัวเป็น...
มุมมองหุ้นเวียดนามจาก Vietnam Emerging Forum 2019 สัปดาห์ที่แล้วแอดมินได้ไปร่วมงาน Vietnam Emerging Forum 2019 ที่โรงแรม Le Meridien Saigon ประเทศเวียดนามซึ่งเป็นการสัมมนาเฉพาะกลุ่มที่ต้องได้รับเชิญจาก HSC เท่านั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อเชื่อมบริษัทชั้นนำของเวียดนาม (ส่วนใหญ่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์) กว่า 60 บริษัท กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเกือบ 500 คน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 มิถุนายน 2562 การสัมมนามีเนื้อหาสาระค่อนข้างอัดแน่นตลอดเวลา 2 วัน ซึ่งมีการจัดขึ้นทั้งในห้อง Ballroom ใหญ่ โดยเป็นการนำเสนอและเสวนาจากผู้เชี่ยวชาญชั้นนำ 41 คนในหลาย ๆ สาขาเช่น หลักทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ เทคโนโลยี เป็นต้นและห้องสัมมนาย่อยเน้นการพบปะกับบริษัทจดทะเบียนกว่า 60 บริษัทส่วนวันที่ 3 เป็นการออกเยี่ยมชมกิจการ โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ทัวร์เทคโนโลยี ทัวร์อสังหาริมทรัพย์ และทัวร์ค้าปลีก สิ่งที่แอดมินเห็นชัดเจนคือนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่จะสนใจสมัครร่วมกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และเทคโนโลยี แต่สำหรับนักลงทุนไทยแล้วสนใจกลุ่มค้าปลีก ดังนั้นเวลาแยกกลุ่มแล้วกลุ่มนี้จะมีคนไทยเป็นส่วนใหญ่เรื่องนี้แม้แต่โบรกเกอร์เวียดนามเองก็รู้ และคงนึกสงสัยอยู่ในใจว่าทำไมเป็นเช่นนั้น ในความเห็นของแอดมินเองแล้ว คิดว่านักลงทุนไทยที่สนใจในหุ้นเวียดนามส่วนใหญ่มักเป็นผู้ประสบผลสำเร็จในการลงทุนหุ้นไทย โดยหุ้นกลุ่มค้าปลีกและธุรกิจห้างสรรพสินค้ามีการเติบโตมาโดยตลอดและยาวนานวันนี้การเติบโตหุ้นกลุ่มนี้ในเมืองไทยในเริ่มอิ่มตัว...

MOST POPULAR