ลงทุนหุ้นเวียดนาม
10 ปีที่ผ่านมาเวียดนามพัฒนาประเทศมาอย่างรวดเร็วใครๆๆก็รู้ แต่รู้ไหมว่า ทำไมคุณควรสนใจ ลงทุนหุ้นเวียดนาม แต่ตอนนี้ เรามาดู 5 เหตุผลที่คุณควรสนใจ ลงทุนหุ้นเวียดนาม เหตุผลที่ 1 : ถูก-----แอดมินได้เริ่ม ลงทุนหุ้นเวียดนาม มา 3 ปีกว่า หากถามว่าผลตอบแทนการลงทุนดีไหม? ก็ต้องบอกว่าหากนำผลตอบแทนทบต้น 3 ปีแล้วดีกว่าเมืองไทย เพราะได้เริ่มลงทุนในปีที่ VN Index ประมาณ 600 จุด (ปัจจุบัน 970 จุด)แต่ผลตอบแทนที่ได้มากคือ ความรู้เรื่องการลงทุนหุ้นเวียดนามทั้งจากนักลงทุนฝั่งสถาบันและรายย่อย ทั้งชาวไทยและต่างประเทศได้เรียนรู้การลงทุนทั้งจากกองทุน นักวิเคราะห์ และจากเพื่อนนักลงทุนที่สนใจลงทุนหุ้นเวียนนามทำให้วันนี้แอดมินมีความกล้าที่จะเพิ่มน้ำหนักการ ลงทุนในหุ้นเวียดนาม จนมูลค่า พอร์ตหุ้นเวียดนาม มากกว่าหุ้นในประเทศไทยแล้วค่ะ หุ้นเวียดนาม เคยขึ้นไปทำ New High ที่ 1,200 จุด จนเป็นตลาดหุ้น ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในโลก ในช่วงต้นปีที่แล้ววันนี้หุ้นเวียดนามได้ปรับฐานย่อตัวลง VN index อยู่ที่ 970 โดยส่วนตัวแล้วถือว่าเป็นโอกาสในการลงทุนมากกว่าดังที่ Warren กล่าวว่า "จงกลัวในยามที่คนอื่นกล้า จงกล้าในยามที่คนอื่นกลัว" เพราะปัจจัยพื้นฐานเวียดนามไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงนอกจากนี้ค่าเงินบาทไทยแข็งขึ้นในช่วงนี้ยิ่งเหมาะกับการลงทุนระยะยาวในหุ้นเวียดนามปัจจุบันค่าดองเวียดนามมีเสถียรภาพขึ้นมาก...
บทเรียนเมื่อฟองสบู่หุ้นแตก ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร หลังการประกาศผลประกอบการไตรมาศ 1 ปี 2562 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  หุ้นขนาดเล็ก-กลางหลายตัวที่เป็นหรือเคยเป็นหุ้น “ยอดนิยม” ได้ตกลงมาแรงทั้ง ๆ  ที่บางตัวได้ตกลงมามากแล้วในช่วง 1-2 ปีก่อนหน้านี้  อาการที่หุ้นตกลงมาหนักมากอย่างรวดเร็วและมักจะเกิน 50% ของจุดสูงสุดนั้น  ในแวดวงของนักลงทุนเราเรียกว่า  “ฟองสบู่หุ้นแตก” ซึ่งก็มักจะสร้างความเสียหายให้กับคนที่ถือหุ้นตัวนั้นมาก  บางครั้งกลายเป็นหายนะซึ่งเปลี่ยนชีวิตการลงทุนของเขาไปอย่างไม่คาดคิด  ลองมาดูว่ามีบทเรียนอะไรบ้างที่เราควรจดจำและนำมันมาใช้ในการลงทุนต่อไปในอนาคต ข้อแรกในความเห็นของผมก็คือ  หุ้นที่มีราคาแพงมากหรือพูดหยาบ ๆ  ก็คือหุ้นที่อยู่ใน “ภาวะปกติ” ไม่ใช่หุ้น Turnaround ที่เคยมีปัญหาและกำลังพื้นตัวหรือหุ้นในสถานการณ์พิเศษอื่น ๆ  ที่มีค่า PE สูงลิ่วเกินกว่า 50 เท่าขึ้นไปนั้น   เป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงมากและมีโอกาสเป็นหุ้นที่ “ฟองสบู่แตก” ราคาตกลงมาเกิน 50% ได้ง่าย ๆ  ว่าที่จริงช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั้น  หุ้นที่มีลักษณะดังกล่าวต่างก็ตกลงมาหนักแทบทุกตัวยกเว้นก็แต่หุ้นขนาดเล็กและ/หรือมี Free...
อวสานของหุ้นโรงงาน ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร       ธุรกิจโรงงานที่ผลิตสินค้าที่เป็นชิ้นส่วนหรือสินค้าสำเร็จรูปให้คนอื่นเพื่อนำไปประกอบเป็นสินค้าขั้นสุดท้ายหรือนำไปขายในยี่ห้อของคนจ้างที่เรียกว่าเป็น  OEM (Original Equipment Manufacturing) นั้น  ต้องถือว่าเป็นเครื่องจักรสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยมากว่า 30 ปี  เริ่มจากการที่ญี่ปุ่นต้อง “ย้ายฐานการผลิต” มายังประเทศไทยเนื่องจากต้นทุนการผลิตสินค้าในญี่ปุ่นสูงขึ้นมากอานิสงค์จากค่าเงินเยนที่ถูกบีบให้สูงขึ้นอย่างกระทันหันจากข้อตกลง Plaza Accord ในปี 1985 ที่ทำให้ค่าเงินเยนแข็งขึ้นถึง 50% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ  และนั่นทำให้ไทยกลายเป็นแหล่งการผลิตต้นทุนต่ำเพื่อการส่งออกของประเทศอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้าของโลกที่สำคัญแห่งหนึ่งมาจนถึงปัจจุบัน   อย่างไรก็ตาม   การ “เปิดประเทศ” ของจีนและเกือบทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงหลัง ๆ นี้  ได้ทำให้เกิด “คู่แข่ง”  มากมายที่มีต้นทุนในการผลิตต่ำกว่าซึ่งทำให้สามารถแย่งการลงทุนไปจากไทยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  จนถึงปัจจุบันผมคิดว่าไทยไม่น่าจะเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของคนที่จะมาลงทุนตั้งโรงงานโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเวียตนามและอาจจะรวมถึงอินโดนีเซีย       ประชากรไทยที่น่าจะแก่ตัวมากที่สุดประเทศหนึ่งและอัตราการเกิดน้อยที่สุดเทียบกับคู่แข่ง  ซึ่งส่งผลให้ค่าแรงขั้นต่ำของไทยอยู่ในอัตราที่สูงที่สุดและหาแรงงานได้ยากน่าจะทำให้ความน่าสนใจในการลงทุนเพื่อทำโรงงานน้อยลง  สถานการณ์แบบนี้คงจะดำรงอยู่ต่อไปอีกนานและในที่สุดสังคมไทยก็จะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์  ดังนั้น  ผมคิดว่า “ธุรกิจโรงงาน” ที่ต้องใช้คนจำนวนมากผลิตสินค้าอุตสาหกรรมโดยเฉพาะเพื่อการส่งออกน่าจะค่อย ๆ  ถดถอยลงอย่างต่อเนื่องยาวนานและกลายเป็นอุตสาหกรรม  “ตะวันตกดิน”  และแม้แต่โรงงานที่เน้นเฉพาะการขายในประเทศเองก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีนัก  เพราะในระยะหลัง ๆ  สินค้าที่ขายในประเทศที่มีราคาถูกนั้น  จำนวนมากผลิตจากจีนเนื่องจากต้นทุนต่ำกว่ามาก  คนที่ขายสินค้าซึ่งเคยสั่งซื้อจากโรงงานในประเทศจึงหันไปสั่งซื้อจากจีนหรือประเทศที่ผลิตได้ถูกกว่า ในส่วนของ “หุ้นโรงงาน”...
อวสานของทีวี ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร   การคืนใบอนุญาตประกอบกิจการทีวีจำนวน 7 ช่องเมื่อสัปดาห์ที่แล้วดูเหมือนว่าจะเป็นจุดจบสำหรับธุรกิจทีวีที่ไม่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจที่ครั้งหนึ่งรุ่งเรืองมาก  ทีวีซึ่งมีเพียงไม่กี่ช่องและที่ทำเป็นธุรกิจจริง ๆ  ก็มีเพียง 2-3 ช่องในอดีตนั้นสามารถทำเงินได้มหาศาล  หุ้นของบริษัททำทีวีที่จดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์บางแห่งเคยมีมูลค่าหรือ Market Cap. เป็นแสนล้านบาท  แต่หลังจากการ “เปิดเสรี” ช่องทีวีซึ่งทำให้เกิดทีวีใหม่หลายสิบช่องขึ้นทันทีก็ทำให้เกิดการแข่งขันกันอย่างเต็มที่ซึ่งทำให้ทีวีเกือบทุกช่องขาดทุนกันหมด  มูลค่าตลาดของหุ้นทีวีลดลงจากแสนล้านบาทหรือเพียงหลักหมื่นล้านบาท  ส่วนหุ้นทีวีที่เคยประสบความสำเร็จในช่วงแรกและมีค่าหลายหมื่นล้านบาทก็เหลือเป็นหลักพันล้านบาท  ดังนั้น  การลดลงของทีวีดิจิตอล 7 ช่องจาก 20 กว่าช่องและเหลือทีวีดิจิตอลประมาณ 15 ช่องนั้นจึงเป็นความหวังว่าธุรกิจทีวีน่าจะดีขึ้นมากและหุ้นทีวีจะ Turnaround หรือฟื้นตัวได้  หรืออย่างน้อยก็ไม่น่าจะ “ตาย” อีกแล้ว  แต่นี่คือความจริงหรือ? ในความเห็นของผม  ทีวี 7 ช่องที่ปิดตัวลงนั้น  มีเรทติ้งหรือคนดูน้อยและดังนั้นจึงมีรายได้จากโฆษณาน้อยมาก  เมื่อปิดตัวลง  โฆษณาที่จะผ่องถ่ายไปช่องที่เหลือก็คงไม่มีนัยสำคัญ  เช่นเดียวกัน  จำนวนคนดูทีวีที่จะหันไปดูช่องที่เหลือก็คงไม่มากนัก  ผมเองคิดว่าพวกเขาส่วนใหญ่อาจจะหันไปดูสื่ออื่นหรือไปทำอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่าที่มีอยู่มากมายอานิสงค์จากการขยายตัวของสื่อดิจิตอลยุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าและมีค่าใช้จ่ายต่ำจนแทบจะ “ฟรี” ไม่ต่างจากการดูทีวีเหมือนกัน  ดังนั้น  การวิเคราะห์ว่าหุ้นทีวีที่ยังทำทีวีอยู่จะดีขึ้นใน “ระยะยาว” จึงไม่สามารถที่จะมองแค่การแข่งขันของช่องทีวีที่ลดลง  แต่ต้องมองว่าทีวีจะสามารถแข่งกับสื่อดิจิตอลอย่างอื่นได้อย่างไร  และมูลค่าหุ้นที่ยังสูงในระดับเป็นหมื่นล้านหรือหลายพันล้านบาทนั้น  คุ้มค่าหรือไม่ มองจากมุมของเทคโนโลยีแล้ว  ทีวีมีประสิทธิภาพลดลงมากเมื่อเปรียบเทียบกับอินเตอร์เน็ตที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจนจะถึง 5G แล้ว  ซึ่งทำให้ระบบอินเตอร์เน็ตนั้นสามารถทำได้ทุกอย่างที่ทีวีทำและเหนือกว่า  ต้นทุนของผู้ใช้เองก็ลดลงจนทำให้แทบทุกคนในประเทศไทยต่างก็สามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้โดยไม่จำกัดเวลา  อาการแบบนี้นั้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าในที่สุดคนที่ดูทีวีน่าจะค่อย ๆ  ลดลงไปเรื่อย...
Son Doong Cave ถ้ำเวียดนามที่ค่าเข้าหลักแสน เมื่อคืนนี้แอดอ่านโพสต์ของพี่เว็บ (Pornchai Rattananontachaisook) ที่แปลสรุปบางส่วนของ Berkshire Hathaway Annual Meeting เรื่องที่เด็กอายุ 13 ขวบ ถาม Warren Buffett ว่า มีวิธีอะไรบ้างที่จะช่วยให้เด็กพัฒนาความสามารถในการอดทนรอคอยได้? หลายคนอาจจะคิดว่า Buffett น่าจะตอบว่า ให้ประหยัด เก็บเงินเยอะๆ ไปลงทุน จะได้รวย แต่ไม่ใช่เลย Buffett พูดว่า "ความอดทนรอคอยเป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่การรู้ว่า ตอนไหนควรใช้เงินก็สำคัญเช่นกัน" เขาพูดต่อว่า "ผมไม่ได้คิดว่า การเก็บเงินคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกครอบครัวทุกสถานการณ์" Buffett ยกตัวอย่างเสริมว่า การไม่พาครอบครัวไปเที่ยว Disney World สองวัน เพื่อเก็บเงินไว้ให้พอไปเที่ยวทั้งอาทิตย์ในอีก 30 ปีข้างหน้า อาจจะไม่ใช่สิ่งควรทำ การใช้เวลากับบางอย่างที่มีความหมายมันคุ้มค่าเงิน เขาบอกว่า กิจกรรมที่ทำให้เรามีความสุขเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ----- ขอตัดฉากจากโอมาฮ่า มายังเวียดนาม... แอดมีเพื่อนนักลงทุนท่านหนึ่งที่รู้จักจากสัมมนา VVI และแอดก็เคยเชิญพี่พูดในฐานะ Traveler Investor ที่เวียดนามด้วย) โดยพี่ท่านนี้ยอมเสียเงินซื้อประสบการณ์เหยียบแสน ...ชัดๆ อีกครั้งนะคะ แสนบาทไม่ใช่แสนด่อง :) เพียงแค่ได้เข้าถ้ำแห่งหนึ่งในเวียดนาม เรื่องราวจะเป็นอย่างไรมาอ่านกันดีกว่าค่ะ (แอดเพิ่งขอเรื่องพี่เค้ามาลงเพจวันนี้เองค่ะ:) ) ----- Review Son Doong Cave tour by Oxalis Background...
กำเนิด Big Data ..อวสานของการทำโพล ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร การเกิดขึ้นของ “Big Data” หรือ “การประมวลผลของข้อมูลขนาดใหญ่” หรือการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีจำนวนมากเพื่อที่จะหาข้อมูลข่าวสารที่อาจจะถูกซ่อนไว้  หรือหาความสัมพันธ์ที่เราไม่รู้  หรือหาแนวโน้มทางการตลาดหรือความชอบของลูกค้าที่จะทำให้หน่วยงานหรือองค์กรธุรกิจสามารถตัดสินใจในการดำเนินงานที่ถูกต้องนั้น  นับวันจะได้รับการยอมรับและดำเนินการอย่างเอาจริงเอาจังมากขึ้นเรื่อย ๆ  ว่าที่จริงบริษัทขนาดใหญ่ เช่น แบงค์หรือบริษัทผู้ให้บริการค้าขายทางอินเตอร์เน็ตขนาดใหญ่ต่างก็กำลังสร้างหน่วยงานนี้ขึ้นเพื่อที่จะศึกษาและวิเคราะห์ลูกค้าของตนเพื่อที่จะหาโอกาสขายสินค้าของตนเองมากขึ้นและป้องกันไม่ให้ลูกค้าของตนหนีไปใช้บริการจากบริษัทอื่น ๆ  มาได้ระยะหนึ่งแล้วไม่ต้องพูดถึงบริษัท “ดิจิตอล”  ระดับโลกทั้งหลายที่ตอนนี้รู้อะไรต่าง ๆ  เกี่ยวกับลูกค้า “แต่ละคน” เป็นอย่างดี  บางทียิ่งกว่าคนใกล้ชิดด้วยซ้ำ  และบริษัทเหล่านั้นก็พยายามเสนอขายสินค้าที่จะตอบสนองต่อคนเหล่านั้น  “แต่ละคน”  ผ่านระบบดิจิตอลหรืออินเตอร์เน็ตที่พวกเราต่างก็ดูกันทั้งวันเพื่อหาข้อมูลสารพัดที่เราต้องการ ในช่วงแรกนั้น  Big Data ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องของบริษัทใหญ่ที่มีข้อมูลลูกค้าจำนวนมากที่จะสามารถนำมาวิเคราะห์และประมวลหาข้อมูลที่จะนำมาใช้ประโยชน์ทางธุรกิจหรือสำหรับหน่วยงานของตนเองได้  แต่ในเวลาต่อมาก็เริ่มมีคนค้นพบว่าข้อมูลขนาดใหญ่นั้นไม่ได้มีอยู่แต่ในองค์กรหรือบริษัทเท่านั้น  มันยังมีข้อมูลอีกมากมายที่กระจายอยู่ในระบบอินเตอร์เน็ตและสื่อสังคมที่ผู้คนใช้ค้นหาข้อมูลและติดต่อสื่อสาร  มันอยู่ในเว็บเพจสาธารณะมากมายจนนับไม่ถ้วน  ข้อมูลเหล่านี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่เราออนไลน์และเขียนติดต่อสื่อสารกับคนอื่นและมันถูกบันทึกไว้ไม่หายไปไหน   ดังนั้น  ข้อมูลเหล่านี้จึงเป็นข้อมูลที่มีขนาดใหญ่มากและใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ  ว่าที่จริงมันใหญ่ยิ่งกว่าของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยซ้ำ  เพียงแต่ว่ามันอาจจะกระจัดกระจายและไม่เป็นหมวดหมู่เท่ากับลูกค้าของบริษัทหรือองค์กร   อย่างไรก็ตาม  ข้อมูลเหล่านั้นก็มีข้อดีมากอย่างหนึ่งก็คือ  มันเป็นข้อมูลที่  “ไม่ค่อยลำเอียง”  เนื่องจากผู้ที่เขียนหรือส่งข้อมูลเข้าไปนั้นมักจะไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร  ดังนั้น  พวกเขาสามารถเปิดใจได้เต็มที่  มันมักเป็นความคิดหรือความรู้สึกที่  “ออกมาจากใจ” และไม่ต้องกลัวว่าใครจะ “มองไม่ดี” ข้อมูล Big Data ที่เกิดขึ้นและเป็น  “ข้อมูลสาธารณะ”...
กลยุทธการลงทุนหุ้นเวียดนาม
กลยุทธลงทุนหุ้นเวียดนาม : Risk!! ป้องกันความเสี่ยงได้ เดี๋ยวกำไรก็มาเอง หนึ่งในนักลงทุนไทยที่แอดมินคิดว่ารู้ลึกและกว้างในตลาดหุ้นเวียดนามมากสุด และเคยเป็นวิทยากรรับเชิญร่วมกับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ในงานสัมมนาของเพจ Vietnam Value Investor หุ้นเวียดนาม ด้วยนั่นก็คือ พี่นัท (Nuttakit Suntonbutr) โดยวันนี้พี่นัทมีบทความสำหรับคนที่อยากทำกำไรในตลาดหุ้นเวียดนาม ด้วยวิธีการป้องกันความเสี่ยงต่างๆ มาฝากแฟนเพจ VVI ที่แอดมินชอบมากคือมีตัวอย่างหุ้นอธิบายให้เห็นภาพด้วย บทความนี้พลาดไม่ได้เลยค่ะ กลยุทธลงทุนหุ้นเวียดนาม : Risk!! ป้องกันความเสี่ยงได้ เดี๋ยวกำไรจะมาเอง! ------- Reflections of My Vietnam Investing Journey (A 2-Year Review)Part III Risk!! Focus on the downside and the upside will take care of itself ความเสี่ยงใน กลยุทธการลงทุนหุ้นเวียดนาม เท่าที่เห็นและประสบมาในช่วง 2 ปีกว่า (ที่ไม่ใช่ทางด้าน macro) แต่ที่สำคัญๆนั้นไม่ได้ต่างจากในไทยเลย ขอสรุปเป็น 5...
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผมเพิ่งกลับจากการท่องเที่ยวในประเทศอังกฤษครั้งที่เท่าไรก็จำไม่ได้เพราะไปค่อนข้างบ่อย  โดยเฉพาะที่กรุงลอนดอนซึ่งเป็นที่ที่ผมจะอยู่หลายวันเป็นประจำ   ดูเหมือนว่าสิ่งต่าง ๆ  ในลอนดอนจะเป็น  “เหมือนเดิม”  การเปลี่ยนแปลงมีน้อย  อาจจะเป็นเพราะว่าประเทศอังกฤษนั้นเติบโตถึงจุด “อิ่มตัว” แล้ว  จากความยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกในศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ที่สหราชอาณาจักรเคยยึดครองอาณาเขตและประชากรกว่า 1 ใน 4 ของโลกและได้ฉายาว่าเป็นดินแดน  “อาทิตย์ไม่ตกดิน”  อังกฤษในศตวรรษที่ 21 ก็กำลังถดถอยลงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศกำลังพัฒนาที่เติบโตขึ้นทุกวันในขณะที่อังกฤษก็ยัง “เหมือนเดิม” ในฐานะของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะที่ชอบศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของโลกและผู้คน   ผมเองคิดว่าอังกฤษเป็นประเทศที่น่าสนใจมากที่สุดประเทศหนึ่ง  สถานที่ท่องเที่ยวของลอนดอนที่ผมสามารถไปซ้ำ ๆ  ได้บ่อยครั้งและก็ไปทุกครั้งก็คือพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ  ที่รัฐจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นแหล่งบันเทิงและให้ความรู้แก่ผู้คนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย  ซึ่งนี่ก็เป็นนโยบายที่ผมเห็นว่าเป็นเรื่อง  “สุดยอด” ของรัฐบาลอังกฤษซึ่งก็แผ่อานิสงค์มาถึงนักท่องเที่ยวด้วย  พิพิธภัณฑ์หลัก ๆ  ในกรุงลอนดอนที่ผมไปมาหมดทุกแห่งและไปหลาย ๆ  ครั้งโดยไม่รู้สึกเบื่อรวมถึงพิพิธภัณฑ์ดังต่อไปนี้ พิพิธภัณฑ์แรกที่ผมคิดว่าทุกคนที่ไปกรุงลอนดอนน่าจะต้องไปก็คือ  พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ของธรรมชาติหรือ Natural History ซึ่งเล่าเรื่องราวของโลกตั้งแต่เกิดและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตผ่านยุคไดโนเสาร์จนมาถึงการเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน  ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงเรื่องราวของชาร์ล ดาร์วิน ชาวอังกฤษซึ่งเป็นคนที่คิดเรื่องของทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับชีวิตที่คนยุคก่อนเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรพสิ่งและชีวิตทั้งหลายในโลก  และนี่ก็คือ “เสาหลัก” ของวิชาทาง  “ชีววิทยา”  หรือวิชาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตซึ่งรวมถึงคนในปัจจุบัน  นอกจากเรื่องของความรู้แล้ว  ผมคิดว่าการได้เห็น “ของจริง”  เช่นซากไดโนเสาร์และมนุษย์ยุคเก่าหลายกลุ่มที่สูญพันธุ์ไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าบันเทิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่  และนี่ก็น่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ดึงดูดผู้คนมากที่สุด...
น้องชายคนรวยที่สุดของเวียดนามถูกจับข้อหาติดสินบนเจ้าหน้าที่ Pham Nhat Vu อดีตประธาน บริษัท Audio Visual Global (AVG) ซึ่งเป็นบริษัทโทรทัศน์ ถูกจับกุมจากการติดสินบนเจ้าหน้าที่โทรคมนาคม Vu ถูกจับกุมในคดีอื้อฉาวที่ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อปีก่อน เมื่อรัฐบาลเริ่มต้นสืบสวนความพยายามเข้าซื้อกิจการ AVG ของบริษัทโมบิโฟน (Mobifone) ที่เป็นกิจการด้านโทรคมนาคมของรัฐ แม้ข้อตกลงระหว่างสองบริษัทยังไม่บรรลุ แต่เจ้าหน้าที่ระบุว่าข้อตกลงดังกล่าวจะก่อให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณรัฐเป็นมูลค่า 300 ล้านดอลลาร์ “ตำรวจตัดสินใจที่จะสืบสวน จับกุม และค้นบ้านพักของหวู ที่ถูกกล่าวหาว่าติดสินบนเจ้าหน้าที่” กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ระบุ แต่ไม่มีรายงานถึงมูลค่าที่ Vu ถูกกล่าวหาว่าจ่ายเป็นสินบน เมื่อปีที่แล้ว ผู้บริหารระดับสูงของ Mobifone สองคนถูกจับกุม และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐซึ่งรวมถึงอดีตรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมสองคนถูกจับในการปราบปรามเช่นเดียวกับการมีส่วนร่วมในข้อตกลง AVG พี่ชายของ Vu คือ นายฝ่าม เญิต เวือง ( Pham Nhat Vuong) เป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศและเป็นประธานบริษัทวินกรุ๊ป (VinGroup) กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ ที่ดำเนินธุรกิจหลากหลายด้าน ตั้งแต่รีสอร์ท คอนโดมิเนียมหรู ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศ รวมทั้งยังสร้างรถยนต์และสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของเวียดนามและเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินสำหรับการแข่งขัน Formula One ครั้งแรกของประเทศในปีหน้า หุ้นที่เกี่ยวข้องกับนายฝ่าม เญิต เวือง (...
"เดิมพันยิ่งใหญ่" ของเกาหลีในเวียดนาม (ที่ไม่สมเหตุสมผล) วันจันทร์ที่ผ่านมาแอดได้ถามนักลงทุนชาวเกาหลีไปว่า "ทำไมไม่ค่อยเห็นนักลงทุนเกาหลีในงานสัมมนาหุ้นทั้งๆ ที่ทั้ง FDI และ ETF ในเวียดนามมีสัดส่วนเป็นชาวเกาหลีมากสุด?" ชาวเกาหลี : "ไม่รู้เหมือนกัน อย่างสัมมนานี้เท่าที่เห็นมี 2 คนเอง (คนไทย 10 กว่าคน) อาจเป็นเพราะภาษาด้วย แต่พวกเราลงทุนในเวียดนามกันเยอะมาก พวกเราชอบสตอรี่ของเวียดนาม แต่ยูไม่ต้องน้อยใจนะ พวกเราก็มีสัมพันธภาพที่ดีกับไทยในเรื่องของดารา-นักร้อง" แอดเลยถามกลับว่า : ยูรู้จัก Lisa วง Blackpink เปล่า? ชาวเกาหลี: แน่นอน ผมรู้จักนิชคุณด้วย 55+ ก่อนที่จะนอกเรื่องมากไป ขอตัดกลับมาที่เรื่องหุ้นและข่าวจาก Bloomberg ดีกว่าค่ะ *เกร็ดน่ารู้: ETF กองทุนอิงดัชนีหุ้นเวียดนาม (VFM) E1VFVN30: ETF ในประเทศที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามมูลค่ากว่า 5,600 ล้านบาท มี 2 ประเทศในโลกเท่านั้นที่ซื้อขายในตลาดหุ้นได้ คือ ที่เกาหลีใต้ Kindex Vietnam และไทย DR - E1VFVN3001 โดย ETF ในเวียดนามมีสัดส่วนเป็นชาวเกาหลีมากสุดเลยค่ะ *ข่าวจาก Bloomberg "เดิมพันยิ่งใหญ่" ของเกาหลีในเวียดนาม (ที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผล) เนื้อหาบอกว่า "เกาหลีมาเวียดนามด้วยรัก" ทัศนคตินักลงทุนสหรัฐฯ ที่มีต่อเวียดนามนั้นผันผวน แต่สำหรับชาวเกาหลีเวียดนามเปรียบเสมือนรักแรกพบและค่อยๆrพัฒนากลายเป็นความรักที่มั่นคง (จากภาพในลิงค์ของ Bloomberg-...

MOST POPULAR