อยู่แล้วรวย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร   ผมเป็นคนที่ชอบอ่าน Quote หรือคำพูดของคนดัง ๆ ของโลกทั้งในอดีตและปัจจุบัน  เพราะคำพูดเหล่านั้นมักจะมีความหมายที่ดีและให้ข้อคิดที่เราสามารถนำไปใช้ได้  นอกจากคำพูดของคนดังแล้ว  ผมก็ยังชอบคำคมที่มีคนเอามาเขียนแสดงให้คนอ่านโดยไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนพูดเพราะมันอาจจะไม่โดดเด่นพอและจริง ๆ  ก็ไม่มีคนรู้ว่าใครเป็นคนพูดคนแรก  คำเหล่านั้นมักถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายรวมถึงที่ติดไว้ท้ายรถบรรทุกและในบ้าน   คำ ๆ  หนึ่งที่ผมเจออยู่บ่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนักก็คือคำว่า  “บ้านนี้ดี  อยู่แล้วรวย” เพราะผมคิดว่านี่ก็เขียนไปเพื่อที่จะทำให้คนอยู่สบายใจโดยที่ความเป็นจริงนั้นคงไม่ได้เกี่ยวกับป้ายหรือคำพูดนี้  เพราะคนที่อยู่บ้านนี้ถ้าไม่ได้ทำงานหรือลงทุนอย่างฉลาดและขยันขันแข็งเขาก็คงไม่รวยเพราะอาศัยอยู่บ้านหลังนี้  มันไม่เกี่ยวกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมสนใจก็คือคำว่า  “อยู่แล้วรวย”  โดยที่ไม่ต้องพูดถึงบ้าน  คำว่า “อยู่” ในที่นี้ก็คือ “การมีชีวิตอยู่”  เหตุผลที่ผมคิดว่าถ้าเรายังมีชีวิตอยู่แล้วละก็  เราก็รวย  เพราะในปัจจัยสำคัญของการเพิ่มขึ้นของความมั่งคั่งในการลงทุนก็คือ “ระยะเวลาของการลงทุน”  โดยที่สูตรของความมั่งคั่งก็คือ  ความมั่งคั่งนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ คือหนึ่ง  เงินต้นหรือเงินเริ่มต้น  สอง  ผลตอบแทนจากการลงทุนแบบทบต้นต่อปี  และสามก็คือ ระยะเวลาการลงทุนคิดเป็นปี  ถ้าปัจจัยทั้งสามนั้นมีมาก  คน ๆ  นั้นก็จะรวย  แต่ถ้ามีน้อย  คน ๆ  นั้นก็จน  ซึ่งผมมักจะเปรียบปัจจัย 3 ประการนั้นว่าเป็น  แก้ว 3 ดวงหรือแก้ว 3 ประการของการลงทุน  โดยที่ปัจจัยแต่ละอย่างนั้นจะมีมากหรือน้อยบางเรื่องก็ขึ้นอยู่กับ  “ดวง”  หรือ “โชคชะตา” ด้วย  แต่ทุกดวงหรือทุกเรื่องนั้นก็ต้องอาศัยความพยายามของเราที่จะทำให้มันเพิ่มขึ้น การเพิ่มขึ้นของ “เงินต้น” ในการลงทุนนั้น  บ่อยครั้งขึ้นอยู่กับดวงไม่น้อย  เหตุเพราะว่าคนจำนวนไม่น้อยมีครอบครัวหรือพ่อแม่ที่ร่ำรวย  หรือบางคนก็โชคดีถูกรางวัลใหญ่หรือได้รับมรดก  หรือที่เกิดขึ้นบ่อยกว่าก็คือ  การได้แต่งงานกับคนรวยหรือเศรษฐี  แบบนี้ก็อาจจะทำให้รวยได้โดยไม่ต้องทำอย่างอื่น  แต่หากว่าเราไม่โชคดีแบบนั้น  วิธีการที่จะเพิ่มเงินต้นมีทางเดียวก็คือการทำงานอย่างฉลาด  ทำงานหนัก และก็อดออมให้มากอย่างน้อยที่สุดก็ต้อง 15% ของรายได้ขึ้นไป    ในส่วนของการลงทุนที่จะให้ได้ผลตอบแทนทบต้นที่ดีนั้น  ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคแต่ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถและความพยายามของเรา  รวมถึงความเสี่ยงที่เราจะต้องกล้ารับด้วย  เพราะถ้าเราไม่รับความเสี่ยงเลยหรือรับได้น้อยมาก  การที่เราจะมีความมั่งคั่งหรือมีเงินพอที่จะเกษียณอายุได้อย่างมีความสุขเพราะมีเงินดูแลตัวเองก็เป็นไปได้ยาก ในเรื่องของการลงทุนนั้น  มีหลายแนวทางที่จะทำ  ถ้าต้องการความปลอดภัยสูงไม่อยากรับความเสี่ยงเลย  เช่นเงินออมส่วนใหญ่ฝากอยู่ในสถาบันการเงินหรือซื้อพันธบัตรรัฐบาล  ผลตอบแทนต่อปีก็จะต่ำมาก  ถ้าเราต้องการสร้างความมั่งคั่งให้สูงขึ้นก็อาจจะต้องทำงานเรื่องการลงทุนหนักขึ้น กล้ารับความเสี่ยงมากขึ้น  เช่น ลงทุนในหุ้นมากขึ้น   โชคดีที่ว่าเราสามารถที่จะลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีตลาดหุ้นซึ่งจะทำให้เราไม่ต้องใช้ความสามารถในการเลือกหุ้นเองและในระยะยาวก็มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีถ้าเราลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศที่ปกครองในระบบทุนนิยมและมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี  แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  การลงทุนในตลาดหุ้นก็เป็นเรื่องที่ต้องออกแรง  ต้องใช้ความพยายามโดยเฉพาะถ้าเราเลือกหุ้นลงทุนเอง และทั้งหมดนั้นก็เป็นความเครียดที่เราจะต้องรับ วิธีเพิ่มเงินหรือความมั่งคั่งข้อสุดท้ายก็คือการ “เพิ่มเวลาในการลงทุน” นั้น  ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดและน่าจะมีความเครียดน้อยที่สุด  นอกจากนั้นมันแทบไม่ต้องอาศัยความสามารถอะไรเป็นพิเศษใคร ๆ  ก็สามารถทำได้   แต่คนกลับสนใจหรือใช้มันน้อยมาก  เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าผลลัพธ์ของมันจะมาอย่างช้า ๆ  บ่อยครั้งเราแทบไม่รู้ตัว  เรามักจะสนใจอะไรต่าง ๆ  ในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งปีหรือน้อยกว่านั้น  การบอกว่าเงินหรือพอร์ตการลงทุนจะโตเร็วขึ้นแบบ “ทวีคูณ” และใหญ่ขึ้นมากถ้าเราลงทุนแบบทบต้นโดยไม่ถอนเงินออกมาใช้เลยเป็นเวลาซัก 10 ปี 20 ปีหรือ 30 ปีขึ้นไปนั้น  มันทำให้คนที่คิดจะทำ  “หมดไฟ” หรือหมดความตื่นเต้นตั้งแต่ปีแรก ๆ  หรือบางทีตั้งแต่รับรู้หรือได้รับฟังมา  คนมักจะคิดว่ามัน  “ยาวเกินไป  ยังไม่อยากคิด”  ตอนนี้ขอทำเงินโดยการหาหุ้น  “ซุปเปอร์สต็อก”  หรือไม่ก็เล่นหุ้นที่กำลังร้อนแรงซึ่งอาจทำกำไรได้ปีละ 100% ก่อน ผมเองทุ่มเทเวลาศึกษา  ทำงานหนักเกี่ยวกับการลงทุน  รับความเครียดมานาน  และก็ “ประสบความสำเร็จ” ในการลงทุน ตลอดเวลากว่า 20 ปี นั้นผลตอบแทนแบบทบต้นที่ได้รับสูงมากจนแทบไม่น่าเชื่อ  ความสำเร็จที่ได้รับนั้นผมคิดว่าส่วนใหญ่น่าจะเป็นเพราะตนเอง  “โชคดี”  เพราะตลาดหุ้นในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นดีมาก  และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ  หุ้นที่ลงทุนซึ่งก็คือหุ้น “VI” ขนาดเล็กถึงกลางนั้นมีการเติบโตขึ้นมหาศาลจนกลายเป็นหุ้นขนาดใหญ่หรือขนาดยักษ์ของตลาด  ทำให้พอร์ตเติบโตขึ้นมโหฬารจนเปลี่ยนชีวิตตนเองได้  จริงอยู่  ความสามารถในการเลือกหุ้นลงทุนก็ส่วนอยู่พอสมควร  แต่สิ่งที่สำคัญก็คือการที่เรา “ยืนหยัด” ลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นตลอดเวลากว่า 20 ปีโดยแทบไม่ได้ถอยออกจากตลาดเลยแม้ในยามที่ตลาดเลวร้ายบางครั้งเป็นวิกฤติ   และทำให้ข้อสรุปถึงความสำเร็จของผมที่ผ่านมานั้น  นอกจากเรื่องของการที่สามารถเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนแบบทบต้นแล้วก็คือการเพิ่มขึ้นของเวลาการลงทุน ถึงวันนี้เองผมคิดว่าการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนต่อปีแบบทบต้นสูงเหมือนเดิมนั้นน่าจะเป็นไปได้ยากมาก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  เราคงไม่โชคดีซ้ำสองที่จะมีตลาดหุ้นที่บูมหรือเป็นกระทิงมายาวนานเป็นสิบ ๆ ปี  เราคงไม่มี “หุ้น VI”  ราคาถูกมากที่คนไม่รู้จักและไม่สนใจที่เปิดโอกาสให้เราลงทุนในราคาถูกเหลือเชื่อและให้ผลตอบแทนสูงลิ่วติดต่อกันเป็นสิบ ๆ ปี  ปัจจัยของความมั่งคั่งข้อสองหรือดวงแก้วดวงที่สองนั้นดูเหมือนเราจะเร่งให้สว่างยากขึ้นมาก  ปัจจัยข้อที่หนึ่งหรือดวงแก้วดวงที่หนึ่งคือเงินต้นนั้น  มันหยุดไปนานมากแล้วหลังจากที่ผมเลิกทำงานประจำและแทบไม่มีรายได้อะไรอย่างอื่น  ดังนั้น  สิ่งที่ผมยังเหลืออยู่จริง ๆ  ที่ผมจะสามารถใช้มันได้โดยที่แทบไม่ต้องอาศัยความพยายามหรือการทำงานหนักก็คือเวลาของการลงทุน พูดง่าย ๆ  สิ่งที่ต้องทำก็คือ  พยายาม  “อยู่”  ต่อไป  ถ้าถึงปีหน้าผมยังมีชีวิตอยู่  ผมก็อาจจะรวยขึ้นไปอีกหลาย ๆ ล้านบาท  ไม่ต้องพยายามไปทำงานหารายได้อื่น  ไม่ต้องพยายามไปหาหุ้นลงทุนที่เหนื่อยยาก  ไม่ต้องเครียด วิธีการเพิ่มเวลาของการลงทุนนั้นมีไม่กี่อย่างและเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก  ข้อแรก  เราต้องเริ่มลงทุนตั้งแต่วันแรกที่มี “เงินตั้งต้น” ที่มักจะมาจากการทำงานและออมไว้  ข้อสอง  ต้องลงทุนตลอดเวลาไม่หนีจากตลาดไม่ว่าภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร หุ้นจะขึ้นหรือลง  หุ้นจะบูมหนักเป็นกระทิงหรือตกหนักเป็นวิกฤติ  เราก็ต้องอยู่กับตลาดหุ้น  ข้อสาม ยืดเวลาของการลงทุนโดยการยืดอายุขัยของเรา  ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดก็คือ  รักษาสุขภาพให้ดีที่สุดโดยการออกกำลัง  กินอาหารที่ดี  อยู่ในบรรยากาศที่บริสุทธิ์  และลดความเครียดในชีวิต  ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยากและเราไม่ต้องมีความสามารถอะไรเป็นพิเศษเพียงแต่ต้องอาศัยวินัยที่มั่นคง สำหรับคนที่มีความทะเยอทะยานอยากรวยหรือมีความมั่งคั่งหรือมั่นคงในชีวิตทั่วไปแล้ว  ผมคิดว่าพวกเขาต่างก็พยายามเร่งหารายได้จากการทำงานและออมเงินในสัดส่วนที่มากพร้อมกับการลงทุนอย่างทุ่มเทเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีเยี่ยม  ผมเองคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ดีแต่เราก็ไม่จำเป็นต้อง “เร่ง” ทำมากเกินไป  เหตุผลเป็นเพราะว่ามันเป็นกิจกรรมที่มี “ต้นทุน” สูง  เราอาจจะต้องเสี่ยงมากกว่าปกติและชีวิตก็อาจจะเครียดเกินไป  การใช้ปัจจัยข้อที่สามคือเพิ่มเวลาหรือใช้เวลาในการลงทุนให้ยาวขึ้นและยาวที่สุดนั้นจะสามารถทำให้เราไปถึงที่หมายได้เช่นเดียวกันโดยที่เราไม่ต้องเสี่ยงและเคร่งเครียดมากเกินไปจะดีกว่า  ผมเองเคยแต่คิดว่า  “สู้แล้วรวย” มานานมาก  แต่หลังจากกลายเป็นนักลงทุน  ผมกลับชอบ  “อยู่แล้วรวย” มากกว่า
บทเรียนที่ไม่จำ โลกในมุมมองของ Value Investor          2 กุมภาพันธ์ 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร   “Insanity is doing the same thing over and over again and expecting different results” นั่นเป็นคำพูดที่คนชอบอ้างว่าเป็นของอัลเบิร์ท ไอสไตน์ แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจน  ความหมายก็คือ  “เป็นเรื่องไร้เหตุผลมากที่เราจะทำสิ่งเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าและหวังว่ามันจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไปจากเดิม”  ถ้าจะอธิบายเพิ่มเติมก็คือ  ถ้าคุณต้องการผลลัพธ์ใหม่  คุณก็ต้องทำแบบใหม่  ทำแบบเดิมก็จะได้ผลลัพธ์แบบเดิม  อย่าไปหวังว่ามันจะได้ผลลัพธ์ใหม่  ในทางวิทยาศาสตร์นั้น นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์  แต่ในทางสังคมศาสตร์หรือในทางเศรษฐศาสตร์แล้วมันไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์  บางครั้งการทำแบบเดิมแต่อาจจะได้ผลลัพธ์ใหม่  เช่น  เคยเล่นหุ้นสั้น ๆ  รายวันแบบเก็งกำไรบางทีหรือบางช่วงก็ขาดทุน  แต่บางครั้งหรือบางช่วงก็กำไร  อย่างไรก็ตาม  ในระยะยาวถ้าเราทำซ้ำ ๆ  สุดท้ายเราก็จะต้องขาดทุน  คำถามก็คือ  ทำไมนักลงทุนหรือคนเล่นหุ้นก็ยังชอบเล่นเก็งกำไรแบบสั้น ๆ  วันต่อวัน?  เล่นมาแล้วเป็นสิบ ๆ  ปีก็มีและส่วนใหญ่ก็ขาดทุนมาตลอด  แต่เขาก็ยังหวังว่าเขาก็จะได้กำไรจากการทำแบบเดิม ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวกับจิตวิทยาของมนุษย์ที่ส่งผลมาจากยีน  เรื่องแรกก็คือ  ยีนของคนเรานั้นบอกให้เรา  “เก็งกำไร” เป็นยีนของ  “นักเสี่ยงโชค”  ทุกครั้งที่เราทำ  เราจะรู้สึกตื่นเต้นสนุกสนาน  และถ้าทำแล้วได้กำไร  เราก็จะมีความสุข  รู้สึกว่า“เราชนะ” ถ้าทำแล้วขาดทุน  เราก็มีความทุกข์  รู้สึกว่า “เราแพ้” แต่เราก็ไม่ได้หมดตัวหรือต้องลำบากอะไรมากนัก   เราหวังว่าคราวหน้าจะต้อง “แก้มือ”  เราจะต้องชนะด้วย  “หุ้นตัวใหม่”  และ “ภาวะตลาดหุ้นใหม่” ที่ดีขึ้น  แต่วิธีการลงทุนหรือการซื้อขายหุ้นก็ยังเป็นแบบเดิมคือซื้อมาและขายไปในระยะเวลาอันสั้น    “การวิเคราะห์หุ้น”  ก็ยังเป็นแบบเดิมซึ่งอาจจะไม่ใช่วิธีที่คิดถึงพื้นฐานของกิจการ  อาจจะเป็นการวิเคราะห์แบบเทคนิค  หรือบางทีก็ใช้วิธีดู  “โมเมนตัม” เช่น ซื้อโดยดูว่าหุ้นตัวไหนกำลังปรับตัวขึ้นแรงและมีปริมาณการซื้อขายหุ้นสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  บางคนก็อาจจะเสริมด้วย  “ข่าว” ทั้งข่าวดีเกี่ยวตัวบริษัทและข่าวการเข้ามาซื้อขายหุ้นของนักลงทุนรายใหญ่หรือ  “จ้าว”  ส่วนเวลาขายเองนั้นก็อาศัยการ  “จับจังหวะ” ขาย“ทำกำไร”  หรือมีเกณฑ์การ “คัทลอส” เมื่อขาดทุนถึงจุดหนึ่ง  เป็นต้น ประเด็นก็คือ  นักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นนั้น  ยังทำ “แบบเดิม”  สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือตัวหุ้นและ/หรือ สถานการณ์หรือเวลาเท่านั้นที่เปลี่ยนไป   บ่อยครั้งหุ้นก็ยังเป็นตัวเดิม  แต่เรื่องราวเกี่ยวกับบริษัทอาจจะเปลี่ยนไป  ราคาหุ้นอาจจะเปลี่ยนไป  เช่น ราคาตกลงมามาก  เขาเคยเล่นหุ้นตัวนั้นและก็ขาดทุนหนัก   เขาคิดว่าราคามันลงมามากเกินไปแล้ว  ดังนั้นเขาเข้ามาซื้อและหวังว่ามันจะ  “รีบาว” หรือหุ้นจะปรับตัวขึ้น  แล้วเขาก็จะได้กำไร  การทำแบบนี้หรือทำนองนี้ในระยะยาวแล้ว  ผมคิดว่าเขาก็จะขาดทุน  เพราะเขายังทำด้วยวิธีการแบบเดิมที่จะได้ผลลัพธ์เหมือนเดิม คนที่ไม่จำ “บทเรียน” การลงทุนจากอดีตที่ผ่านมานั้นผมคิดว่าเป็นเรื่องยากที่เขาจะเก่งและพัฒนาฝีมือการลงทุนให้ดีขึ้นไม่ว่าเขาจะทำมานานแค่ไหน  ประสบการณ์ที่มากขึ้นนั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้ามันเป็น “ทักษะ” ที่ผิด  ยิ่งทำมากก็แก้ไขได้ยากขึ้น ผมยังจำได้ในคำพูดในวงการกอล์ฟที่พูดทำนองว่า  “Practice don’t make perfect practice make permanent”  ซึ่งความหมายก็คือ  การซ้อมหรือปฏิบัติบ่อย ๆ  นั้น  ไม่ทำให้การตีกอล์ฟดีสมบูรณ์แบบ  แต่มันทำให้ท่าที่ตีนั้นติดแน่นและเปลี่ยนไม่ได้  ดังนั้น  ถ้ามันผิด  มันก็ทำให้เราแย่และปรับเปลี่ยนไม่ได้  เรื่องการลงทุนเองนั้น  ผมคิดว่ามันก็คล้าย ๆ  กัน และดังนั้น  ผมจึงไม่ค่อยได้เห็นคนที่เป็น VI พันธุ์แท้ปรับตัวมาจากนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรที่ชอบเล่นสั้น ๆ  มานาน  VI เก่ง ๆ ที่ผมเห็นนั้นมักจะเริ่มต้นการลงทุนอย่างจริงจังด้วยหลักการ VI ตั้งแต่แรก การจดจำบทเรียนว่าอะไรหรือวิธีการอย่างไรใช้ไม่ได้แล้วเปลี่ยนวิธีใหม่เพื่อให้เกิดผลลัพธุ์ที่ถูกต้องและดีนั้นเป็นกระบวนการที่ช่วยให้มนุษยชาติพัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็วและถาวรและนี่ก็คือสิ่งที่เราเรียกว่า “วิทยาศาสตร์” ซึ่งก็เกิดขึ้นมาไม่นานไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมานี้เอง  ในอดีตนั้น  มนุษย์ยึดหลักการแบบ “ไสยาศาสตร์” ซึ่งน่าจะรวมถึงศาสนา  ภูตผีปีศาจ  โหราศาสตร์และอื่นๆ  ซึ่งทำให้มนุษย์เราไม่สามารถพัฒนาวิทยาการ  เศรษฐกิจ และสังคมได้รวดเร็ว  เหตุผลก็เพราะว่าศาสตร์เหล่านั้นไม่อนุญาตให้เราเลือกทำสิ่งใหม่หรือวิธีการใหม่ ๆ  เวลาที่ผลลัพธ์ออกมาไม่เป็นไปตามที่คาด  ตัวอย่างเช่น  เวลาที่ “ผู้วิเศษ” ทำพิธีเรียกฝนแล้วฝนไม่มาเขาก็อาจจะบอกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไป “ขัด” ไม่ให้ฝนตก  เขาไม่คิดว่าวิธีของเขานั้นผิด  เสร็จแล้วคราวหน้าที่เขาจะเรียกฝน  เขาก็ยังคงท่องคาถาเดิมไม่เปลี่ยนแปลงและก็หวังว่าฝนจะมาในขณะที่ทางวิทยาศาสตร์เองนั้น  ถ้าเขาใช้วิธีติดปีกไว้กับแขนแล้วบินไม่ขึ้น  เขาก็จะใช้วิธีใหม่  ทำไปเรื่อยๆ  จนสำเร็จกลายเป็นเครื่องบิน  เขาไม่ทำแบบเดิมที่ไม่สำเร็จซ้ำ ๆ และหวังว่าวันหนึ่งเขาจะบินได้  และด้วยวิธีการแบบนี้เองที่ทำให้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าและสามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ของคนและโลกได้ ในเรื่องของการลงทุนนั้น  ผมคิดว่า  “กระบวนการลงทุน” คือสิ่งที่กำหนดว่าเราจะประสบผลสำเร็จในการลงทุนหรือการได้รับผลตอบแทนมากน้อยแค่ไหนในระยะยาว  ถ้ากระบวนการนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่มีประสิทธิภาพ  มันก็มักไม่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้เราได้  กระบวนการของแต่ละคนนั้นมักจะไม่เหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์  บางคนต่างกันมากและบางคนก็ต่างกันน้อย  ถ้าจะให้ดีเราต้องศึกษาดู  เราอาจจะไม่รู้ว่าคนอื่นหรือแม้แต่เพื่อนเราเขาทำอย่างไรแน่   แต่เราสามารถเรียนรู้จาก  “เซียน” หรือผู้เชี่ยวชาญได้จากการเขียนหรือการวิเคราะห์วิธีการของเขาได้  ตัวอย่างเช่น  เราเรียนรู้แนวทางของบัฟเฟตต์หรือปีเตอร์ลินช์ได้จากหนังสือและบทความจำนวนมากรวมถึงการติดตามการลงทุนของเขาที่มีการเผยแพร่ออกมาตลอดเวลา  อย่างไรก็ตาม ในการติดตามหรือเรียนรู้กระบวนการของนักลงทุนอื่นนั้น  สิ่งที่ต้องระวังก็คือ  เราต้องมั่นใจว่ามันเป็นวิธีการที่เขาทำจริง เพราะในหลาย ๆ  ครั้ง  สิ่งที่เขาทำกับสิ่งที่เขาพูดก็อาจจะไม่ตรงกันได้ ผมเองเชื่อว่านักลงทุนโดยเฉพาะคนเล่นหุ้นในตลาดหุ้นไทยนั้น  มักจะไม่ค่อยจำบทเรียนที่เกิดขึ้น  พวกเขายังทำอะไรซ้ำ ๆ เหมือนเดิมทั้ง ๆ  ที่เคยทำแล้วก็ขาดทุนอย่างหนักมาแล้ว  ตัวอย่างเช่นการชอบเก็งกำไรในหุ้นตัวเล็ก ๆ  ที่มี “ข่าวดี”  และผู้บริหารออกมาให้ข่าวตลอดเวลา  เสร็จแล้วราคาก็พุ่งขึ้นรุนแรงก่อนที่จะตกลงมาแรงไม่แพ้กันในเวลาไม่นานพร้อมกับผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัท  แต่แล้วหลังจากที่หุ้นนิ่งอยู่ซักพักจนคนอาจจะลืมเรื่องเก่าไปแล้ว  หุ้นก็กลับ “ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่” เรื่องราวและพฤติกรรมต่าง ๆ  เกี่ยวกับหุ้นก็กลับมา “วนลูป”  เหมือนเดิมซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนหรือคนเล่นหุ้นนั้นไม่ค่อยจะจำบทเรียนที่ผ่านมาในอดีต   เขากำลังทำแบบเดิมแต่หวังว่าจะไม่ขาดทุนแต่จะได้กำไรในรอบนี้  ซึ่งถ้าจะให้เปรียบเทียบแล้ว  ผมคิดว่ามันคงคล้าย ๆ  กับคนเล่นหวยที่พยายามหา “เลขเด็ด” มาแทงในแต่ละงวด  เขามักจะ “ถูกกิน” แม้ว่านาน ๆ  ครั้งจะถูกรางวัลบ้าง  แต่ทุกครั้งเขาก็ “ทำอย่างเดิม”  คือหาเลขเด็ดและก็หวังว่าเขาจะถูกรางวัล  ผมคงไม่ต้องบอกว่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของคนเล่นหวยนั้น  ในระยะยาวแล้ว  ขาดทุน ทั้งหมดนั้นผมเองไม่ได้หมายความว่ากระบวนการหรือวิธีการลงทุนที่ประสบความสำเร็จนั้นมีทางเดียว  สิ่งที่ผมต้องการบอกก็คือ  วิธีนั้นมีมากมาย  แต่ละคนจะต้องหาว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นถูกต้องหรือไม่  และถ้าดูแล้วมันเป็นวิธีที่ไม่ทำให้ประสบความสำเร็จ  ก็จะต้องเปลี่ยนวิธีใหม่  ไม่ใช่ทำไปเรื่อย ๆ  แบบเดิมและหวังว่าวันหนึ่งเราจะชนะ  
บินตรงอีกแล้ว (ภาค 3) ! แอดเพิ่งโพสต์เรื่อง Vietjet และ Bangkok airways เปิดบินตรงไปเวียดนามไปหมาดๆ โพสต์นี้ถึงตาแอร์เอเชียบ้างค่ะ แอร์เอเชียเปิดเส้นทางบินตรงกรุงเทพ (ดอนเมือง) - เกิ่นเทอ ประเทศเวียดนาม ———- เกิ่นเทอมีอะไร? ———- เมืองเกิ่นเทอ (Can Tho) ถือเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศเวียดนาม และใหญ่ที่สุดในบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการค้าขายทางน้ำ และมีตลาดน้ำขายส่งขนาดใหญ่ อีกทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของเวียดนาม เพราะเป็นแหล่งเพาะปลูกที่สำคัญ โดยนักท่องเที่ยวสามารถไปสัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบชาวเวียดนามที่ใช้ชีวิตริมคลองได้ที่เมืองนี้ นอกจากการท่องเที่ยวแล้วเมืองเกิ่นเทอยังเป็นแหล่งธุรกิจการค้าที่สำคัญ โดยเฉพาะในด้านการลงทุนที่มีนักลงทุนจากหลากหลายประเทศเข้าไปลงทุนอยู่ในบริเวณดังกล่าวเป็นจำนวนมาก —- สำหรับสายการบินแอร์เอเชียปัจจุบันมีเส้นทางให้บริการบินตรงสู่เวียดนามทั้งสิ้น 5 เส้นทางบิน ได้แก่ กรุงเทพ-ฮานอย (2 เที่ยวบินต่อวัน) กรุงเทพ-โฮจิมินห์ (3 เที่ยวบินต่อวัน) กรุงเทพ-ดานัง ( 3 เที่ยวบินต่อวัน) เชียงใหม่-ฮานอย (1 เที่ยวบินต่อวัน) และเส้นทางบินใหม่ล่าสุดกรุงเทพ-เกิ่นเทอ (3 เที่ยวบินต่อสัปดาห์) สำหรับเส้นทางบิน “กรุงเทพ-เกิ่นเทอ” เริ่มต้นที่ 890 บาทต่อเที่ยวบิน เชื่อว่านักลงทุนในเพจ VVI ชอบเรียนรู้+เที่ยวเวียดนาม ไว้มี Route บินตรงใหม่ๆ น่าสนใจแอดมินจะนำมาฝากอีกนะคะ Credit: https://mgronline.com/travel/detail/9620000010359
โลกในมุมมองของ Value Investor      25 มกราคม 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร วิกฤติอากาศ   ผมเพิ่งกลับจากการพูดในการสัมมนาเกี่ยวกับการลงทุนแบบ VI ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย  และก็แน่นอนว่าผมได้มีโอกาสท่องเที่ยวเล็ก ๆ  น้อยในเมืองหลวงแห่งนี้  ภาพทั่ว ๆ  ไปของ KL ในความรู้สึกของผมก็คือ  มันเป็นเมืองที่ถูกออกแบบมาค่อนข้างดี  อานิสงค์จากการที่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษในยุคล่าอาณานิคม  ถนนหนทางมีมากซึ่งทำให้รถไม่ค่อยติดยกเว้นบางจุดใจกลางเมือง  ตึกรามเก่าที่มีศิลปะเฉพาะมีกระจายไปทั่วเมืองควบคู่ไปกับตึกระฟ้าที่ทันสมัย สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับประชาชนที่รัฐสร้างขึ้นเช่น “สวนนกแบบเปิดที่ใหญ่ที่สุดในโลก”  ที่ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยือนในช่วงสั้น ๆ  นั้น  ดูดีและห่างจากใจกลางเมืองแค่รถวิ่ง 15 นาที  ดูเหมือนว่ารอบ ๆ  เมือง KL นั้น  ยังมีต้นไม้เต็มไปหมดคล้าย ๆ  กับ  “ป่า” แต่ที่สำคัญที่ผมพยายามสังเกตหลังจากที่กรุงเทพต้องประสบกับปัญหาหมอกควันรุนแรงก็คือ  บนท้องฟ้าที่ดูสดใสเป็นสีฟ้าสลับกับเมฆสีขาวที่เห็นขอบเขตอย่างชัดเจน  เวลาเดินกลางแดดก็จะพบว่ามันร้อนเปรี้ยงเพราะไม่มีหมอกมาบดบัง  โดยรวมแล้วผมคิดว่า KL เป็นเมืองที่น่าอยู่และสมศักดิ์ศรีของการที่จะเป็นเมืองหลวงของประเทศที่ใกล้จะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว กลับมากรุงเทพในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมาผมพบว่ากรุงเทพนั้นมีอาการที่น่าห่วงมาก  อากาศน่าจะเต็มไปด้วยมลพิษเนื่องจากฝุ่นละอองจากควันของไอเสียรถยนต์และฝุ่นดินที่มาจากการก่อสร้าง  การเผาขยะ  และอื่น ๆ  อีกมาก  มองขึ้นไปบนฟ้าก็พบว่ามันขมุกมัวไม่ชัดเจน  อาคารที่อยู่ไกลออกไปก็จะมองไม่ค่อยเห็น  สีของฟ้านั้นเป็นสีขาวของหมอกควันพิษและมองแทบไม่เห็นเมฆ  “ผู้เชี่ยวชาญ” และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องบอกว่ามันเกิดเนื่องจากอากาศไม่ถ่ายเทเพราะไม่มีลมอันเป็นผลจากฤดูกาล  “รอสักระยะเมื่อลมมาแล้วมันก็จะหายไป”  ตอนนี้ก็ต้องอดทนแต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็พยายามแก้ปัญหาอยู่ ตัวเลขความรุนแรงของมลภาวะถูกนำมาประกาศวันต่อวัน  ดูเหมือนว่ามันกำลังจะดีขึ้นแต่แล้ววันต่อมาก็อาจจะเลวลงอีก การแก้ไขปัญหาที่ทำอยู่นั้นผมดูแล้วแทบจะไม่มีผลต่อมลภาวะเพราะมันอาจจะแก้ไม่ถูกจุดจริง ๆ   ผู้รู้บางคนบอกว่าตัวการสำคัญที่สุดคือรถโดยเฉพาะที่ใช้น้ำมันดีเซล  แต่การแก้ปัญหาเรื่องหนึ่งก็คือจะพิจารณาให้มีน้ำมัน B20 ที่ผสมน้ำมันปาล์มมากขึ้นเป็น 20% ในน้ำมันดีเซล  แต่นี่ดูเหมือนว่าจะลดควันเสียได้น้อยมากและคงใช้เวลาอีกเป็นสิบ ๆ ปีกว่าจะเห็นผล  บางคนก็เสนอให้ใช้น้ำฉีดจากตึกสูงเป็นละอองเพื่อดักจับฝุ่น   บางคนก็เอาน้ำมาล้างถนนเพื่อลดฝุ่น  แต่ทั้งหมดนี้ผมคิดว่าคงแก้ไขหรือลดมลภาวะอะไรไม่ได้ ผมคิดว่าอากาศกรุงเทพนั้นแท้จริงแล้วอาจจะเลวร้ายมานานและสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ   ฤดูกาลอาจจะมีส่วนบ้าง  เช่นช่วง “หน้าหนาว”  ซึ่งอากาศเย็นลงมาปกคลุมและไม่ค่อยมีลมจะเป็นช่วงที่อากาศแย่ที่สุด  ในช่วง “หน้าร้อน” ที่มีลมพัดแรงและช่วง “หน้าฝน” ที่มีฝนตกเกือบทุกวันนั้น  ภาวะอากาศเสียฝุ่นละอองอาจจะน้อยลงไปเพราะลมหอบฝุ่นไปที่อื่นและฝนตกช่วยจับฝุ่นลงมาอยู่บนพื้นดิน   ที่จริงแล้วเราอาจจะดูดหรือหายใจเอาฝุ่นละอองที่อันตรายเข้าปอดมานานแล้วแต่เราไม่รู้เพราะร่างกายมักจะไม่แสดงอาการอะไรออกมาทันที  มันอาจใช้เวลาเป็นปี ๆ  หรือหลายสิบปีก่อนที่เราจะเจ็บป่วย  ดังนั้น  เราไม่ตระหนักว่าเรากำลังอยู่ในอันตรายในเรื่องของสุขภาพ  จนกระทั่งปีนี้ที่มลภาวะอากาศรุนแรงประกอบกับสื่อในยุคดิจิตอลที่กระจายข่าวสารไปได้แพร่หลายและเร็วมากได้ทำให้คนเริ่มรู้ถึงอันตรายของการสูดเอาอากาศที่มีฝุ่นโดยเฉพาะที่เป็นฝุ่นขนาดเล็กมากที่มองไม่เห็นและสามารถลอยตัวอยู่ในอากาศที่เรียกว่า PM2.5   การออกมาประกาศว่าระดับของ PM2.5 ในกรุงเทพในช่วงเร็ว ๆ  นี้สูงเกินกว่ามาตรฐานที่ 50 หน่วยมาก  เช่น  บางวันเกิน 100 นั้น  ได้ทำให้หลายคนรวมถึงตัวผมเองตื่นตระหนก เราจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงภาวะนี้โดยเฉพาะบ้านผมที่มีเด็กอายุยังไม่ถึง 2 ขวบซึ่งหมอบอกว่าเป็นคนที่เสี่ยงที่สุดเพราะปอดยังพัฒนาไม่เต็มที่ ในฐานะของคนที่ไม่เชื่ออะไรง่ายโดยเฉพาะถ้าคนที่พูดนั้นมี Conflict of Interest หรือมีแรงจูงใจที่จะทำให้คนฟังแล้วเชื่อในอีกแบบหนึ่ง  นอกจากนั้น  ผมก็ยังต้องระวังว่าคนที่พูดนั้นอาจจะไม่รู้จริงและอาจจะคิดว่าตนเองรู้เพราะ “ใคร ๆ  เขาก็คิดแบบนั้น”  ดังนั้น  ผมจึงพยายามศึกษาและทดลองดูตามหลักวิทยาศาสตร์โดยมีเป้าหมายว่า  เราจะหลีกเลี่ยงภาวะเลวร้ายของอากาศนี้ได้อย่างไร?  ในยามที่การแก้ไขในระดับเมืองซึ่งมักต้องอาศัยพลังหรืออำนาจรัฐนั้นยังไม่เกิดผล เรื่องแรกที่ผมคิดและทำก็คือ  ความรุนแรงของมลภาวะ สิ่งนี้เป็นเรื่องจำเป็นที่เราจะต้องรู้มิฉะนั้น  เราจะไม่สามารถบอกได้ว่ามันร้ายแรงแค่ไหนและเราจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงมัน   สิ่งจำเป็นสำหรับเรื่องนี้ก็คือ  เราต้องมีเครื่องวัดค่าคุณภาพของอากาศหรือค่า AQI แบบพกพา  การดูจากเวบไซ้ต์นั้น  บางทีก็มีประโยชน์น้อยและบางแห่งอาจจะเชื่อถือไม่ได้เพราะมันอยู่ห่างจากจุดที่เราอยู่และมันอาจจะติดตั้งในระดับที่ไม่ใช่ระดับที่เราหายใจ  การมีเครื่องวัดที่ติดตัวหรือใกล้กับตัวเรานั้นจะทำให้เรารู้ว่าเราจะทำอย่างไร  เช่น  จะหนีไปให้พ้นหรือใช้หน้ากากกันฝุ่นเป็นต้น  จากการวัดค่า AQI พกพาของผมนั้น ผมพบว่าทุกครั้งมีค่าสูงกว่าค่าที่อ่านจากเวบไซ้ต์มาก  บางครั้งเกิน 50% นอกจากเรื่องค่า AQI แล้ว  เรามักจะได้รับคำบอกเล่าหรือคำแนะนำผิด ๆ  โดยที่เราไม่รู้  ตัวอย่างเช่น  ให้อยู่ในบ้านในยามที่อากาศเสียหนัก ๆ   อย่าไปออกกำลังในที่โล่งหรือริมถนน  ถ้าทำในสวนสาธารณะอากาศก็จะดีกว่าเพราะต้นไม้ช่วยซับอากาศเสีย  ผมเองในช่วงแรก ๆ  ที่เกิดข่าวเรื่องอากาศเป็นพิษ  ผมได้เปลี่ยนไปออกกำลังในยิมที่เป็นร้านฟิตเนสจนกระทั่งมาค้นพบว่าอากาศในยิมก็สกปรกพอ ๆ  กับข้างนอก  ประเด็นของผมก็คือ  หลังจากที่ผมสงสัยในทฤษฎีของผู้เชี่ยวชาญหรือผู้รู้ทั้งหลายที่แนะนำวิธีการหลีกเลี่ยงอากาศเสีย  ผมก็นำเครื่องวัดอากาศไปวัดทุกแห่งที่ผมไป  ผลปรากฏว่าทุกแห่งหนนั้น คุณภาพอากาศใกล้เคียงกันหมด  ทั้งในบ้าน  ในสวนและบนทางเท้าริมถนน  เช่นเดียวกับในช็อปปิ้งมอลหรู  ว่าที่จริงถ้าเราคิดถึงหลักทางวิทยาศาสตร์ว่าอากาศนั้นไปได้ทุกแห่งและฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศก็ไปตามอากาศแล้ว  ที่ไหนมีอากาศที่นั่นก็น่าจะมีฝุ่นพอ ๆ  กัน ผมค้นพบอีกว่า  วิธีที่จะหลีกเลี่ยงฝุ่นก็คือ  การอยู่ในบ้านหรืออาคารที่ปิดประตูหน้าต่างมิดชิดแล้วเปิดเครื่องกรองอากาศที่สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กเช่น PM2.5 ได้  และถ้าเราอยู่ในที่เปิดโล่งหรือในอาคารที่คนเข้า ๆ  ออก ๆ  และไม่มีเครื่องกรองอากาศ  วิธีที่น่าจะสามารถป้องกันฝุ่นจะอยู่ที่การสวมหน้ากากที่ป้องกันฝุ่นขนาด PM2.5 ได้เท่านั้น  และต้นไม้ในสวนนั้นไม่สามารถที่จะดูดซับฝุ่นได้และอากาศในสวนเองนั้นก็น่าจะถ่ายเทหรือไหลมาจากที่อื่น  ผมเองไม่รู้ว่าการสวมหน้ากากจะป้องกันฝุ่นได้ 90% ขึ้นไปตามที่มีคนพูดหรือไม่  แต่การใช้เครื่องกรองฝุ่นในบ้านที่ปิดค่อนข้างมิดชิดอย่างที่บ้านผมนั้นสามารถกรองฝุ่นได้เกือบ 100%  ค่า AQI ที่วัดได้นั้นอยู่ระหว่าง 0-4 เมื่อเปิดนานพอในขณะที่อากาศข้างนอกค่า AQI อยู่ที่ 100 กว่า ถึงวันนี้  ผมเองไม่แน่ใจว่ากรุงเทพจะมีวันที่อากาศมีคุณภาพดีจริง ๆ หรือเปล่า   เราคงต้องติดตามไปเรื่อย ๆ  จนครบทุกฤดูกาล  ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังโดยเฉพาะในระยะยาว ในสมัยที่โลกยังไม่เจริญและประเทศผู้นำอย่างอังกฤษเริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจเติบโตเร็วมากจนถึงวันหนึ่งก็พบว่าสภาพแวดล้อมทั้งน้ำและอากาศเลวร้ายมาก  หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มตระหนักและแก้ไขจนกระทั่งประสบความสำเร็จและนี่ก็คือประเทศที่กลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วอย่างแท้จริง  ประเทศไทยเราเอง  ถ้าจะนำชาติไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว  การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมจะต้องเป็นหนึ่งในกระบวนการนั้น ในระหว่างที่ยังไปไม่ถึง  หน้าที่ของเราก็คือ  อย่าสร้างมลภาวะโดยไม่จำเป็นและปกป้องตนเองให้พ้นจากภัยนี้เท่าที่จะทำได้ ผมเองคิดว่าบางทีเราอาจจะต้องทนและยอมรับการสูดอากาศที่ไม่สะอาดในช่วงที่จำเป็น  แต่ในช่วงที่อยู่บ้านและตอนนอนหรือตอนออกกำลัง  เราอาจจะต้องอยู่ในอากาศที่บริสุทธิเพราะมีการกรองอากาศอย่างดีเพื่อชดเชย  ด้วยวิธีการนี้  ร่างกายของเราก็อาจจะรับได้  การไม่ทำอะไรเลยและ “เชื่อ” ข้อมูลของหน่วยงานโดยเฉพาะที่พยายามบอกว่า “อากาศดีแล้ว”  ไม่น่าจะเป็นแนวทางที่ดีและเป็นความเสี่ยงที่คาดการณ์ไม่ได้
มารู้จักหุ้น SAB กันเถอะ - SABECO หรือ SAB เป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่ที่สุดในเวียดนามและอันดับที่ 21 ของโลก - ส่วนแบ่งการตลาด (Market share) อยู่ที่ 45.7% - ปี 2017 Vietnam Beverage Company Limited บริษัทย่อยกลุ่ม ThaiBev ชนะการประมูลหุ้น SAB และกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่สัดส่วน 53.59%  -ปีนี้ SAB ยังเป็นผู้สนับสนุนหลักให้กับสโมสรฟุตบอล Leicester City อีกด้วย อยากรู้จัก SAB มากกว่าเดิม ดูได้จากภาพในโพสต์นี้เลยค่ะ ขอขอบคุณข้อมูลจาก Bualuang Securities มา ณ. ที่นี้ด้วยค่ะ
ธุรกิจ Consumer Finance ในเวียดนาม หน้าตาเป็นอย่างไร วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกันค่ะ เวลาที่คนเวียดนามช๊อตเงิน หรืออยากจะได้เงินไปจับจ่าย เค้าไปหาจากที่ไหนกันนะ ... คำตอบง่ายๆคือไม่แตกต่างจากบ้านเราเท่าไรเลยค่ะ ทั้งยืมเงินเพื่อน เล่นแชร์ เข้าโรงรับจำนำ หรือว่า กู้นอกระบบ ทำให้หลายฝ่ายหันมาสนใจธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลกันมาขึ้นค่ะ เมื่อการกู้นอกระบบเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แถมยังเสียดอกเบี้ยแพงมหาศาล ที่เวียดนามก็มีเล่นแชร์กันด้วยในหมู่เพื่อนด้วยค่ะ (ในภาษาเวียดนามเรียกว่า chơi hụi หรือ chơi họ ในภาษาทางภาคเหนือ) เค้ามี app เล่นแชร์ให้โหลดด้วยนะ ใครสนใจลองไปดาว์นโหลดได้ค่ะ ชื่อว่า Tiết kiệm nhóm ^^ แต่ app นี้ก็ไม่ค่อยได้รับความนิยมกันเท่าไรนักในกลุ่มหญิงเวียดนาม เมื่อเป็นประเทศที่กำลังเติบโต ประชากรยังหนุ่มสาว ชนชั้นกลางเริ่มมีรายได้มากขึ้น ก็มีความต้องการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นตามมาเช่นกัน ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลเริ่มเข้ามาแทนที่ ในช่องว่างที่ธนาคารยังไม่สามารถปล่อยสินเชื่อได้ในบางกลุ่ม แน่นอนค่ะธุรกิจกำลังมีแนวโน้มการเติบโตเร็วมาก เนื่องจากอัตราการเข้าถึงสินเชื่อยังอยู่ในฐานต่ำ จากรายงานของ StoxPlus Corporation ที่ออกมาเกี่ยวกับเรื่องสินเชื่อส่วนบุคคลของเวียดนามในปี 2017 ระบุว่าตัวเลขเงินกู้ส่วนบุคคลเทียบกับเงินก็ทั้งหมดของเวียดนามมีสัดส่วนเพียงแค่ 11.4% และยังเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% ของ GDP ของประเทศซึ่งยังนับว่าต่ำมาก และมีโอกาสเติบโตได้อีก เมื่อเทียบกับสัดส่วนของประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกัน ถึงแม้ว่าในปี 2016 ตัวเลขสินเชื่อส่วนบุคคลจะลดลงไปบ้างอันเนื่องมาจากชะลอการเติบโดในส่วนของธนาคารพาณิชย์และยอดสินเชื่อเพื่อซื้อและปรับปรุงที่อยู่อาศัย...
ความเป็นไป(ไม่)ได้ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร โลกในมุมมองของ Value Investor    นักลงทุนที่ดีนั้น  นอกจากวิชาความรู้ในด้านต่าง ๆ  แล้ว  วิชาความรู้ที่สำคัญมากอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของสถิติและความเป็นไปได้หรือ Probability  และความผันแปรหรือ Variation หรือความคลาดเคลื่อนจากสิ่งที่คาดการณ์  หลักทฤษฎีเกี่ยวกับการเงินและการลงทุนนั้น  ต่างก็อาศัยวิชาความรู้นี้เป็นอันมาก  เหตุผลก็เพราะเรื่องของการลงทุนนั้นมักจะเกี่ยวข้องกับการพยากรณ์อนาคตซึ่งมีความไม่แน่นอนสูงและโอกาสที่เหตุการณ์ในอนาคตจะออกมาแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้มีสูงมาก  การใช้หลักการทางสถิติโดยเฉพาะความน่าจะเป็นจะช่วยให้เรารู้ว่าโดยเฉลี่ยถ้าเราทำมันมากพอหรือตรวจสอบย้อนหลังมากพอ ค่าของมันควรจะเป็นเท่าไรและโอกาสที่เหตุการณ์แต่ละครั้งจะแตกต่างกับสิ่งที่คาดการณ์นั้นจะมีมากหรือน้อยแค่ไหน ในฐานะของนักลงทุน  เราคงไม่มานั่งคำนวณโอกาสความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นตัวเลข  เพราะแม้แต่นักสถิติเองก็มักจะทำไม่ได้แม่นยำ  แต่เราต้องเข้าใจแนวคิดของมันเพื่อที่จะได้ไม่  “ถูกหลอก” ด้วยตัวเลขที่นักวิเคราะห์ทำมาให้เราเชื่อและตัดสินใจลงทุนตามตัวเลขที่อาจจะ  “สวยหรู”  แต่ไม่ได้บอกว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นอาจจะน้อยมากและโอกาสที่จะผิดพลาดอาจจะสูงมาก  ซึ่งนั่นอาจจะทำให้เราขาดทุนมหาศาล  ตัวอย่างเช่น  เขาคาดว่ากำไรของบริษัทปีหน้าจะโตขึ้น 50% คิดเป็นเงิน 600 ล้านบาท จากกำไรปีที่แล้วที่ 400 ล้านบาท โดยไม่ได้บอกว่ามันมีโอกาสที่บริษัทอาจจะไม่ได้กำไรเพิ่มเลยหรืออาจจะขาดทุนก็ได้ นอกจากการคาดการณ์ตัวเลขการเติบโตถึง 50% แล้ว  นักวิเคราะห์ยังได้ให้ Target Price หรือราคาเป้าหมายของหุ้นโดยอิงกับการเติบโตซึ่งมีเซียนหุ้นหลายคนรวมถึง ปีเตอร์ ลินช์ พูดว่าเราสามารถใช้ค่า PEG  ซึ่งก็คือค่า PE หารด้วย Growth เท่ากับ 1 เท่าได้   ดังนั้นค่า PE ที่เหมาะสมของหุ้นก็คือเท่ากับ Growth ที่ 50 เท่า   แต่ว่าก่อนประกาศหรือออกบทวิเคราะห์ หุ้นตัวนั้นมีค่า PE แค่ 25 เท่า ดังนั้น  ราคาหุ้นเป้าหมายก็ปรับขึ้นไปเป็น 1 เท่าตัว  เช่น  จาก 50 บาทก็กลายเป็น 100 บาท นักลงทุนที่เชื่อตัวเลขราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์ก็แห่กันเข้าไปซื้อส่งผลให้หุ้นขึ้นไปแรงมากจากราคา 50 บาทกลายเป็น100 บาท  และด้วยอิทธิพลของแรงเก็งกำไรราคาก็วิ่งต่อไปอีกกลายเป็น 120 บาท  ซึ่งทำให้นักวิเคราะห์ “ตื่นเต้นมาก”  เขาเห็นว่าราคาน่าจะวิ่งต่อไปได้อีกมองจากปริมาณการซื้อขายหุ้นที่เพิ่มขึ้นมหาศาลและคนกล่าวขวัญกันอย่างกว้างขวางว่าบริษัทจะยิ่งใหญ่ “ระดับโลก” การปรับ Target Price รอบสองก็ตามมา  ตัวเลขกำไรถูกเลื่อนไปใช้ตัวเลขของปีหน้าจากกำไรต่อหุ้น 2 บาทโต 50% กลายเป็น 3 บาท และเมื่อคูณด้วยตัวเลข PE ที่ 50 เท่า  ราคาเป้าหมายก็เลยกลายเป็น 150 บาท  คำแนะนำก็คือ  “ซื้อ”  เพราะราคาปัจจุบันเท่ากับ 120 บาท  มีโอกาสทำกำไรได้ประมาณ 30 บาทต่อหุ้นหรือประมาณ 25%  นักลงทุนจึงซื้อหุ้นต่อทั้ง ๆ ที่ราคาเกินเป้าหมายแรกที่ 100 บาทไปแล้ว  และถ้าเราเชื่อตัวเลขเหล่านั้น  เราก็อาจจะเข้าไปซื้อ  เพราะดูเหมือนว่าหุ้นกำลังวิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ   แต่ทั้งหมดที่เขาพูดมานั้น  เขาไม่ได้พูดว่าโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหน  เขาพูดราวกับว่ามันจะเกิดขึ้นแน่นอนหรือไม่ก็สูงมาก  และที่ยิ่งสำคัญก็คือ  เขาไม่พูดถึงโอกาสความเป็นไปได้ที่ตัวเลขจะต่ำกว่านั้นมาก  เช่น  กำไรอาจจะไม่โตเลยหรือลดลงได้ทั้ง ๆ  ที่ถ้ามองย้อนหลังไปในอดีตหลายปี  กำไรของบริษัทก็ไม่ได้โตหรือโตน้อยแค่ปีละไม่เกิน 10% เมื่อเวลาผ่านไป  ผลการดำเนินงานของบริษัทไม่ได้ออกมาตามที่คาด  มันต่ำกว่าที่คาดมาก  แต่มันใกล้เคียงกับผลการดำเนินงานในอดีตมากกว่า   นั่นก็คือ  มันโตช้าแค่ 5-10%  ต่อปี  นักลงทุนเริ่มตกใจและขายหุ้น  ราคาหุ้นร่วงมาแรงมากกว่า 50% จากจุดสูงสุดและค่า PE ก็ยังสูงเกิน 25 เท่าที่เป็นค่า PE ของหุ้นก่อนที่จะมีการคาดการณ์กำไรของบริษัทว่าจะเพิ่มขึ้น 50% ใน “ปีหน้า”  นักลงทุนที่เข้าไปซื้อหุ้นในราคาที่สูงลิ่วขาดทุนหนักเพราะไม่ได้คำนึงถึง Probability หรือโอกาสที่กำไรจะเพิ่ม50% ว่ามันมีมากน้อยแค่ไหน  บางทีอาจจะน้อยมากแค่ 10% ก็เป็นได้ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ “ไม่น่าจะเกิดขึ้น” และผลก็คือ  มันก็ไม่เกิดขึ้นจริง ๆ   นอกจากไม่เกิดขึ้นแล้ว  สิ่งที่เกิดขึ้นยังแตกต่างหรือผันแปรไปจากค่าที่คาดหวังมาก  คือจากการเติบโต50% กลายเป็นแค่ 10%  ซึ่งในแวดวงของนักลงทุนไทยแล้ว  เราไม่ถือว่ามันเป็นหุ้นเติบโต  ดังนั้น  คนที่เล่นหุ้น Growth ก็ขายหุ้นแบบถล่มทลาย ธรรมชาติของตัวเลขผลประกอบการของแต่ละอุตสาหกรรมและแต่ละบริษัทนั้น  เราต้องเข้าใจว่ามันสามารถคาดการณ์ด้วยความแม่นยำและมีความผันผวนต่างกัน  จำนวนและขนาดของลูกค้ารวมถึงความผันผวนของราคาสินค้ามีส่วนอยู่มาก  ถ้าลูกค้าเป็นรายย่อยและมีจำนวนมากเป็นล้าน ๆ คน  การคาดการณ์โดยทั่วไปก็จะมีความแม่นยำและโอกาสที่ผลประกอบการจะแตกต่างจากตัวเลขคาดการณ์มากก็จะน้อย  ในกรณีแบบนี้  ความเสี่ยงของการลงทุนก็จะต่ำกว่า  เรามักจะไม่ค่อยเจอวิกฤติด้านของการลงทุนรุนแรงในหุ้นประเภทนี้  เช่นเดียวกัน  โอกาสที่หุ้นจะกระโดดขึ้นไปรุนแรงในเวลาอันสั้นก็จะน้อยกว่ามากเพราะการคาดการณ์อนาคตของผลประกอบการของหุ้นปีต่อปีก็มักจะไม่ก้าวกระโดดที่จะส่งผลให้หุ้นมีราคาปรับตัวขึ้นไปเร็วมากได้  อย่างไรก็ตาม  นี่ไม่ได้แปลว่าการลงทุนในหุ้นแบบนี้ไม่น่าสนใจ  เพราะจริงอยู่ว่าการลงทุนในหุ้นแบบนี้อาจจะไม่ทำให้รู้สึกว่ารวยเร็ว  แต่ในระยะยาวแล้ว  มันอาจจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการเล่นหุ้นที่หวือหวาแต่คาดการณ์ได้ยากและมีโอกาสสูงที่มันอาจจะตกต่ำลงอย่างแรงในบางช่วง  และการตกต่ำลงแรงนั้นมันทำลายความมั่งคั่งได้รุนแรงมากกว่าการขึ้นที่รุนแรงในระดับเดียวกัน ตัวเลขภาพใหญ่เช่น  ตัวเลขเกี่ยวกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการปรับตัวของดัชนีหุ้นเองนั้นก็มีความแตกต่างกันมากในแง่ของความสามารถในการคาดการณ์และความผันผวนของตัวเลข  โดยที่ตัวเลข GDP นั้นเนื่องจากผูกติดอยู่กับประชาชนทั้งประเทศและกิจกรรมที่เขาทำ  การคาดการณ์ปีต่อปีจึงค่อนข้างแม่นยำพอสมควรและความผันผวนก็ค่อนข้างต่ำ เช่น ถ้าเราคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะโต 4% และความผันผวนก็คือไม่ต่ำกว่า 3.5% ในด้านที่แย่และไม่เกิน 4.5% ในด้านที่ดี  โอกาสที่เราจะทำนายพลาดก็น้อย  ดังนั้น  เราจึงไม่ต้องกังวลมากนักว่าบริษัทที่เราลงทุนจะ  “เจ๊ง” เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย  อย่างมากเราก็ไม่ค่อยดีหรือดีเท่านั้น แต่ตัวเลขดัชนีหุ้นนั้นการคาดการณ์น่าจะยากถึงยากมากและความผิดพลาดจากที่ทำนายก็อาจจะมหาศาล  หุ้นอาจจะเป็นวิกฤติได้เสมอเนื่องจากมันอิงกับปัจจัยทั่วโลกซึ่งแน่นอนรวมถึงปัจจัยในประเทศที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ถูกต้องหรือแม้แต่ใกล้เคียง  เช่นเดียวกัน  หุ้นก็อาจจะดี  ดัชนีหุ้นวิ่งขึ้น “หักปากกาเซียน”  ได้เสมอแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะบอกว่าปีนี้เล่นหุ้นยากมาก  ดังนั้น  เราไม่ควรจะหวังอะไรกับดัชนีหุ้นถ้าเราลงทุนระยะยาว   เราอาจจะต้องระวังมากขึ้นบ้างในกรณีที่มีสถานการณ์บางอย่างที่ประวัติศาสตร์บอกว่า  “น่ากลัว”  เช่นในยามที่หุ้นปรับตัวเป็นกระทิงและดัชนีมีราคาแพงมากซึ่งในที่สุดก็มักจะต้องปรับตัวลงแรงจนบางครั้งเป็นวิกฤติ  เป็นต้น ทั้งหมดนั้นก็คือตัวอย่างของตัวเลขที่เราอาจจะต้องคาดการณ์เพื่อที่จะวิเคราะห์หุ้น  หน้าที่ของเราก็คือการวิเคราะห์ตัวเลขแต่ละตัวว่ามันน่าจะเป็นอย่างไรในปีหน้าและในอนาคต  เราจะต้องรู้ปัจจัยสำคัญต่าง ๆ  ในการที่จะกำหนดตัวเลขเหล่านั้นและความผันผวนของมัน  ในกรณีจำนวนมากนั้นผมพบว่ามันไม่สามารถกำหนดได้แม่นยำและความผันผวนสูงมาก  ซึ่งในกรณีแบบนั้นบ่อยครั้งผมจะไม่ลงทุนเลย  ผมชอบลงทุนเฉพาะในหุ้นที่ผมคาดการณ์ตัวเลขได้ค่อนข้างดีและความผันผวนหรือโอกาสแตกต่างจากที่คาดการณ์มีน้อย  เพราะด้วยการลงทุนในหุ้นแบบนี้  โอกาสผิดพลาดหรือเรา “แพ้” มีต่ำ  ผมชอบลงทุนในสิ่งที่มีโอกาสขาดทุนน้อยแม้ว่าบางทีกำไรก็อาจจะไม่สูง  เพราะผมเชื่อในกฎสำคัญของการลงทุนในระยะยาวที่ว่า  “อย่าขาดทุน”
เก็บตก VI Summit 2019 - งานรวมพลวีไอที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน วันนี้แอดฟังรายการรู้ใช้เข้าใจเงิน อาจารย์นิเวศน์ ได้เล่าถึงบรรยากาศงาน VI Summit 2019 และทริปสั้นๆ ที่ไป Malaysia ให้ฟัง ทางเพจสรุปมาฝากดังนี้ค่ะ อาจารย์นิเวศน์ เล่าให้ฟังว่า งาน VI Summit ที่กัลลาลัมเปอร์นี้น่าจะเป็นรวมพลที่น่าจะใหญ่ที่สุดในย่าน ปกติจะไปบรรยายที่สิงคโปร์แต่ปีนี้ไปมาเลเซีย ในงานมีคนไทยไปด้วย หลายคนเป็นคนคุ้นหน้า สังคม VI ไทย หลายคนไม่ทำงานแล้ว เป็นอิสระทางการเงิน การไปสัมมนาต่างประเทศเป็นชีวิตอีกแบบที่สนุกดี ได้เพื่อน ได้ความรู้ ในฐานะวีไอ เราต้องเรียนรู้ไว้ VI Summit รอบนี้มี Speaker ชาวจีน ออสเตรเลีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย USA เน้นแนวเป็นวีไอ ไม่มีเทคนิคคอล มี Sarah Fu ที่เป็นพิธีกรเคยสัมภาษณ์ Warren Buffett กว่า 10 ครั้ง ซึ่งปกติเป็นเรื่องยากที่ Warren จะยอมในสัมภาษณ์บ่อยๆ นะ --- พิธีกร: อยากให้อาจารย์ช่วยเปรียบเทียบระหว่าง KL,Malaysia กับ Bangkok สิ่งที่เห็นความแตกต่างบ้านเมืองเค้าถูกออกแบบ วางผังไว้ดี ดูเหมือนประเทศเจริญแล้ว ไม่แน่นแบบบ้านเรา มีสถาปัตยกรรมแบบเก่าๆ ปนสมัยใหม่ ถนนหนทางดีมาก ที่งงคือเราอยากไปเที่ยวแบบธรรมชาติ สวนนกใหญ่ที่สุดในโลก แต่สวนนกห่างกันจากกลางเมืองแค่ 15 นาที สวนนกตรงนี้เป็นต้นไม้ใหญ่เป็นป่าเลย กางมุ้งหลาย 10 ไร่ อากาศข้างนอกที่มาเลเซียดี บ้านเรามีฝุ่น ผมเลยอยู่บ้านตลอด ตอนนี้ผมอยู่ข้างนอกมีปัญหาอึดอัด...
ส่องบรรยากาศ การลงทุน “เวียดนาม” Hanoi- เริ่มมีย่านการค้าทำเลทอง - มีห้างสรรพสินค้าลอตเต้สัญชาติเกาหลี - มีห้างบิ๊กซีจากไทยเข้าไปลงทุน - มีการก่อสร้างโครงการมิกซ์ยูส โดย “แคปปิตัลแลนด์” สัญชาติสิงคโปร์ - ส่วนของทุนท้องถิ่นก็ไม่เบาเลย มีการขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมอย่างยานยนต์ที่ Vingroup เพิ่งจะทำคลอดรถแบรนด์ “Vin Fast” สัญชาติเวียดนามออกมาต้นปีนี้ -พร้อมเปิดตัวสมาร์ทโฟนแบรนด์ “Vsmart” ของบริษัทเป็นครั้งแรก ————- ซี.พี.เวียดนาม ———— บิ๊กธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนธุรกิจปศุสัตว์ครบวงจร Feed-Farm-Food ในเวียดนาม นาน 25 ปี จนเติบโตเป็นท็อป 5 ในตลาดอาหารเวียดนาม ได้เล่าว่า “เวียดนามมีจุดเด่นสามารถเป็นได้ทั้งฐานการผลิตและฐานการตลาด เพราะ - มีประชากรเวียดนามมากถึง 97 ล้านคน - มีอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรปีละ 1% ที่สำคัญ ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน มีอายุเฉลี่ย 31 ปี จึงมีความต้องการบริโภคสูงขึ้น - มีแรงงานจำนวนมาก ค่าแรงงานต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอาเซียนอื่น - ภูมิประเทศมีชายฝั่งทะเลยาวจึงมีการพัฒนาท่าเรือ และมีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ - อัตราการขยายตัวของจีดีพีเฉลี่ย 6.5% รายได้ประชากรต่อหัวต่อปีประมาณ 2,629 เหรียญสหรัฐ -  “การเมือง” ที่มีเสถียรภาพ ทำให้มีการขับเคลื่อนนโยบายมีเอกภาพและมีความต่อเนื่อง โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจ มีการปฏิรูปเศรษฐกิจ เปิดกว้าง มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ ตามนโยบาย “Doi Moi”...
ผู้ได้ประโยชน์ตัวจริง สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนใหม่ๆ คนส่วนใหญ่บอกว่าน่าจะเป็นแค่เรื่องบลัฟกัน เดี๋ยวก็เลิก เพราะต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บทั้งคู่ ไม่น่าจะมีใครอยากทำสงครามการค้ากันหรอก แต่เอาเข้าจริงๆ กลับยืดเยื้อมาถึงวันนี้ และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือ หลายบริษัทกำลังหาทางหลบหลีกผลเสียหายอันเกิดจากสงครามนี้ด้วยการย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่น และดูเหมือนว่าประเทศที่ได้ประโยชน์จากความเคลื่อนไหวนี้คือเวียดนาม ทำไมจึงเป็นเวียดนาม? เหตุผลที่สำคัญคือ -เวียดนามได้เปรียบในจุดที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ -อีกทั้งค่าลงทุนต่ำและรัฐบาลทุ่มเทสนับสนุนอย่างเต็มพิกัด -อีกประเด็นหนึ่งคือ เวียดนามไม่มีข้อขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐ ทำให้เชื่อว่าโดนัลด์ ทรัมป์ คงไม่ตามไล่ล่าไปถึงเวียดนาม -ล่าสุดอีกประการหนึ่งคือ เวียดนามก็มีความคืบหน้าเรื่องการลงนามข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปเเละประเทศริมมหาสมุทรเเปซิฟิกอีก 10 ชาติ — จุดที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของเวียดนามเอื้อต่อการขนส่งสินค้าทางทะเลไปทางตะวันออก และการนำเข้าวัตถุดิบทางบกจากจีนแผ่นดินใหญ่ก็ค่อนข้างสะดวก ตั้งเเต่สหรัฐประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนรอบใหญ่ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทที่ไปปักหลักที่จีนที่ไหวตัวทันต่างก็วิ่งหาข้อมูลเกี่ยวกับการขยับขยายไปเวียดนามกันอย่างคึกคัก มีการประเมินกันว่าเวียดนามเป็นทางเลือกที่มีแรงจูงใจที่สุดสำหรับผู้ผลิตสินค้าในจีนที่ต้องการขยายกำลังการผลิตนอกประเทศ เพราะศูนย์การผลิตอื่นๆ ในเอเชียสู้เวียดนามไม่ได้ เนื่องจากตั้งอยู่ห่างไกลจากจีน ทำให้เสียค่าลงทุนสูงกว่า ที่สำคัญคือ เวียดนามตอบโจทย์เรื่อง supply chain สำหรับการผลิตและขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ได้มากกว่าประเทศอื่นๆ ในแถบนี้ อย่าได้แปลกใจหาก iPhone จะย้ายฐานการผลิตจากจีนบางส่วนมาเวียดนามในเร็ววันนี้ Foxconn ซึ่งเป็นผู้รับเหมารายหลักในการประกอบโทรศัพท์มือถือ iPhones ที่มีโรงงานในจีนหลายแห่ง กำลังเจรจากับผู้บริหารของเวียดนามที่กรุงฮานอย หรือคณะกรรมการที่มีอำนาจตัดสินใจอย่าง Hanoi People's Committee โดยมีเป้าหมายตั้งโรงงานประกอบโทรศัทพ์ iPhone ขึ้นที่นั่น ชัดเจนว่านี่คือยุทธศาสตร์ “หลบกระสุนสงคราม” ระหว่างจีนกับสหรัฐของ iPhone เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่ออนาคตของตนเองในภาวะที่การเมืองระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้นตลอดเวลา ข่าวอีกกระแสหนึ่งบอกว่า แม้บริษัทจีนเองก็ยังไม่วายต้องคิดหาวิธีหลบลี้หนีภัย บริษัทผลิตหูฟังไร้สาย GoerTek ของจีนก็กำลังพิจารณาย้ายโรงงานจากจีนไปเวียดนามด้วยเหตุผลเดียวกัน แน่นอนว่าจะต้องเกิดคำถามว่า ทำไมบริษัทเหล่านี้ไม่มองไทยเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งนอกจากเวียดนาม นี่เป็นคำถามที่คนไทยควรจะต้องใคร่ครวญพิจารณาประกอบการวางยุทธศาสตร์ชาติเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันของไทยให้ได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า เศรษฐกิจเวียดนามที่เติบโตเร็วในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดการขยายตัวของโรงงานที่ต่างชาติลงทุนที่นี่นอกจากแหล่งเดิม เช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้เเละไต้หวัน ยิ่งปีที่ผ่านมาจะเห็นการก้าวกระโดดของเงินลงทุนจากต่างประเทศที่มาลงเวียดนามอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ แจ้งว่า การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ หรือ Foreign...

MOST POPULAR