โลกในมุมมองของ Value Investor     26 ธันวาคม 63 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร             เหตุการณ์ในตลาดหุ้นช่วงเร็ว ๆ  นี้และโดยเฉพาะเมื่อวันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมาที่หุ้นขนาดใหญ่และใหญ่มากอย่างน้อย 2 ตัวมีราคาปรับตัวขึ้นเกือบถึงเพดานที่ 30% ในวันเดียวโดยที่บริษัทไม่ได้มีข่าวอะไรเป็นพิเศษ  ว่าที่จริงในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา  หุ้นใหญ่และกลางหลาย ๆ ตัวก็มีการปรับตัวขึ้นสูงมากและบางตัวก็ปรับขึ้นถึงเพดานในวันเดียวอยู่บ่อย ๆ  โดยที่ไม่ได้มีข่าวหรือมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเป็นพิเศษ  อาการที่เกิดขึ้นนั้นผมลงความเห็นว่าหุ้นเหล่านั้นอาจจะถูก “Corner” หรือถูก  “ต้อนเข้ามุม” เพราะหุ้นถูกซื้อด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเมื่อเทียบกับ Free Float หรือหุ้นที่หมุนเวียนซื้อขายกันในตลาดส่งผลให้ราคาปรับตัวขึ้นไปแรงมากโดยไม่ได้อิงกับมูลค่าที่แท้จริงที่คิดจากผลประกอบการของบริษัทในอนาคต  แต่ราคาขึ้นไปเพราะคนซื้อที่เป็นนักเก็งกำไรที่เข้ามาซื้อเพราะคิดว่าหุ้นจะต้องขึ้นต่อไป  ส่วนคนแรก ๆ  ที่เข้าไปซื้อนั้น  อาจจะมองจากพื้นฐานของกิจการเมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่ยังอาจจะ “ไม่แพง”  ก็ได้  หรือบางที  ซึ่งอาจจะมากกว่า ก็คือ  เข้าไป  “ปั่น” โดยการ “กระชากราคา” และ “ซื้อหุ้นต่อเนื่อง” จนหุ้นเหลือน้อยลงและราคาวิ่งขึ้นไปเร็วและแรงขึ้นเรื่อย ๆ  จนในที่สุดก็ดึงดูด “นักเล่นเก็งกำไร” ซึ่งมีอยู่มากมายในตลาดหุ้นไทยเข้ามา “ร่วมวงเล่น”  ผลก็คือ  หุ้น “วิ่งทะลุฟ้า”          ...
โลกในมุมมองของ Value Investor      19 ธันวาคม 63 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ในช่วง 2-3 ปีมานี้ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่รวดเร็วมากจนทำให้หลายคน  “งง” ไปหมด  นั่นคือการที่ “เด็ก” ที่มักจะไม่ได้มีบทบาทอะไรในสังคมไทย  ออกมาเป็น  “ผู้นำ” ในหลาย ๆ  ด้าน  ไม่ว่าจะเป็นพิธีกร  นักแสดงนักกีฬา  ผู้ประกอบการในธุรกิจรุ่นใหม่บางอย่างที่ท้าทายและหลายครั้งเอาชนะคนรุ่นเก่าที่ “สูงอายุ” และมีบทบาทนำในสังคมมาช้านาน  และสิ่งหนึ่งที่น่าทึ่งที่สุดก็คือการที่ “เด็ก” ออกมาเป็นผู้นำในการประท้วงทางการเมืองระดับชาติจนหลายคนเกรงว่าจะ “เปลี่ยนประเทศ” ไปในทางที่เด็กต้องการแต่คนรุ่นเก่าเห็นว่าเป็นภัยใหญ่หลวงและต้องป้องกันทุกวิถีทางซึ่งอาจจะเกิดการปะทะกันและกระทบต่อการปกครองและสถานะของประเทศในสายตาของประชาคมโลก ผมเองคิดว่าปรากฏการนี้  เราไม่ควรเรียกว่าเป็นเรื่องของ  “เด็ก” เพราะที่จริงแล้วพวกเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วทั้งทางร่างกายและจิตใจ  ส่วนใหญ่บรรลุนิติภาวะแล้ว  เพียงแต่พวกเขาอายุยังน้อยกว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศ  แต่นั่นก็อาจจะชดเชยได้ด้วยความรู้ที่ก้าวหน้าและแตกต่างจากคนรุ่นเก่าที่มักจะถูกจำกัดด้วยเทคโนโลยีและอำนาจของรัฐ   พวกเขาไม่ใช่เด็ก   แต่เป็นคนที่นักสังคมวิทยาเรียกว่าเป็นคน “Gen Y” ดังนั้น  เราควรมาวิเคราะห์ดูว่าปรากฏการครั้งนี้ในที่สุดจะดำเนินต่อไปอย่างไร  อนาคตของเศรษฐกิจ  สังคมและการเมืองของไทยจะไปทางไหน  แต่ก่อนอื่น เราจะต้องเข้าใจเรื่องและธรรมชาติของคนแต่ละกลุ่มหรือแต่ละเจนก่อน Generation แรกก็คือ “Baby Boomer” นี่คือคนที่เกิดที่เกิดปี 1946-1964 หรืออายุตอนนี้ 56-74 ปี เป็นคนที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จำนวนคนในโลกเกิดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และนี่คือโลกในยุคอุตสาหกรรมที่มีการผลิตสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันเช่นเครื่องใช้ไฟฟ้าและรถยนต์เพิ่มขึ้นมาก  เช่นเดียวกับการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานต่าง ๆ เช่น  ถนนหนทาง  ไฟฟ้าและน้ำประปาเป็นต้น  ในทางการเมืองเองนั้น  นี่คือยุคของ “สงครามเย็น” ที่มีการต่อสู้ทางความคิดระหว่างคอมมิวนิสต์กับทุนนิยมอย่างรุนแรง  ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหนึ่งก็คือ  มีการ “โฆษณาชวนเชื่อ” อย่างรุนแรงระดับ  “ล้างสมอง” ของคนทั้งประเทศเพื่อที่จะเอาชนะคอมมิวนิสต์  ผลก็คือ  ความคิดของคนที่เกิดในยุคนี้มีความคล้ายคลึงกันมากและมักจะเป็นคนที่มีความเป็น “อนุรักษ์นิยม” สูงมาก ยุคที่สองก็คือคน  Gen X  นี่คือคนที่เกิดในปี 1965-1980 หรืออายุระหว่าง 40-55 ปีในวันนี้  นี่คือคนกลุ่มที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่เมื่อตอนเป็นเด็กเพราะพ่อแม่ต่างก็ไปทำงานกันทั้งคู่  อย่างไรก็ตาม  พวกเขาก็มีชีวิตอยู่ในครอบครัวที่เริ่มจะรวยและมักใช้ชีวิตสมดุลกว่าคนยุคเบบี้บูมที่ทำงานหนักกว่า   คนเจนนี้มักจะมีความคิดเป็นอิสระ  ไม่ค่อยยึดถือกรอบประเพณีแบบดั้งเดิม  เป็นกลุ่มคนที่มีความคิดแบบผู้ประกอบการ  แต่ถ้าจะพูดว่าคุณกลุ่มนี้มีแนวคิดที่เป็นจุดเด่นแบบไหนก็อาจจะบอกชัดเจนได้ยาก  ดังนั้น  พวกเขาจึงถูกตั้งชื่อว่าเป็น เจน “X”  คือยุคที่ไม่รู้ว่าควรจะเป็นอย่างไร  แต่มีความคิดที่แปลกและผิดเพี้ยนไปจากคนกลุ่มเบบี้บูม  บางคนบอกว่าพวกเจน X มีแนวคิด “ปฏิวัติ” อย่างเช่นในอังกฤษที่คนรุ่นนี้มักไม่สนใจหรือมองสถาบันกษัตริย์ในมุมที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อน เป็นต้น ยุคที่สามคือคน Gen Y นี่คือคนที่เป็นลูกของคนยุคเบบี้บูมและพวกเจน X ตอนต้น พวกเขาเกิดในช่วงปี 1981-1996 ตอนนี้ก็อายุ 24-39 ปี นี่คือคนยุคแรกที่ใช้คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ  ใช้กูเกิลค้นหาข้อมูล และติดต่อสื่อสารด้วยสื่อสังคมสมัยใหม่  พวกเขาถูกเรียกว่าเป็น  “Digital Native” คือ “เกิดในโลกยุคดิจิตอล”  ดังนั้น  จึงคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลมาก  อย่างไรก็ตาม  พวกเขาต้องเจอกับวิกฤติเศรษฐกิจหลายครั้งซึ่งก่อให้เกิดการตกงานหรือประสบความยากลำบากจากภาวะเศรษฐกิจ  เพราะเวลาเกิดปัญหา  คนหนุ่มสาวมักจะไม่มีงานทำหรือตกงานมากกว่าคนที่สูงอายุกว่า  อีกอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนคนยุคก่อนก็คือ  คนเจน Y นั้น  มักจะไม่สนใจทำงานกับสถาบันหรือบริษัทขนาดใหญ่และชอบที่จะทำงานเป็นอิสระอานิสงค์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิตอลที่ทำให้พวกเขาสามารถทำงานอิสระหรือทำธุรกิจเองได้ง่าย ในด้านของสังคมเองนั้น คนเจน Y มักจะมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง  กล้ายืนยันในความคิดของตนเอง ผมคงไม่พูดถึงคน Gen Z ที่มีอายุ 8-23 ปีในวันนี้ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเด็กอยู่ เพราะพวกที่โตพอถึงอายุ 18 ปีแล้วก็จะมีแนวความคิดคล้ายคน Gen Y ในขณะนี้  เพียงแต่จะแรงกว่าเนื่องจากเกิดมาก็เจอกับโลกของดิจิตอลที่สมบูรณ์แล้ว ในประเทศไทยเองนั้น  ตัวเลขประชากรบอกเราว่าในปัจจุบัน  เรามีคนรุ่นเบบี้บูมประมาณ 11.8 ล้านคน  โดยคนที่อายุน้อยที่สุดที่ 56 ปีมีประมาณ 9 แสนคน และคนอายุสูงที่สุดที่ 74 ปีมีประมาณ 3 แสนคน  และคนทั้งหมดนี้ผมตั้งสมมุติฐานว่ายังคง Active และทำงานในระดับหนึ่ง  ที่สำคัญยังมีบทบาทสูงมากในแทบทุกวงการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการเมืองและสิ่งที่เกี่ยวข้องและการเป็นผู้นำสูงสุดทางด้านธุรกิจจำนวนมาก คนรุ่น เจน X นั้นเป็นรุ่นที่เด็กเกิดในแต่ละปีสูงสุดถึงปีละประมาณ 1 ล้านคน ทำให้มีคนที่เป็นเจน X ถึง 16.4 ล้านคนและในช่วงเวลานี้น่าจะเป็นคนที่มีรายได้สูงสุดและใช้จ่ายมากที่สุด  อย่างไรก็ตาม  บทบาทของคนเจน X ที่โดดเด่นกลับดูเหมือนว่าจะเป็นรองคนยุคเบบี้บูมอยู่มาก  นอกจากนั้น  ความคิดของคนเจน X เองก็ดูไม่ชัดเจนว่าพวกเขามีแนวคิดแบบไหน  ดูเหมือนว่าน่าจะผสมผสานระหว่างการเป็นเสรีนิยมกับอนุรักษ์นิยม  อานิสงค์สำคัญจากการที่สงครามเย็นสงบลงและแนวคิดแบบเสรีนิยมและกระแสของการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก คนเจน Y ที่เกิดในแต่ละปีนั้น  ยังมีจำนวนสูงเกือบ 1 ล้านคนน้อยกว่าเจน X เล็กน้อย  ดังนั้น  พวกเขาก็มีจำนวนพอ ๆกับเจน X คือประมาณ 15.2 ล้านคน  อย่างไรก็ตาม  คนเจน Z ตอนต้น  คือคนที่มีอายุตั้งแต่ 18 จนถึง 23 ปี นั้น ผมคิดว่าพวกเขาก็มีแนวความคิดและความเชื่อคล้ายกับคนเจน Y มาก  อานิสงค์จากอิทธิพลของอินเตอร์เน็ตและสื่อสังคมรุ่นใหม่ที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เรียนรู้โลกอย่างเสรีอย่างเต็มที่  โดยที่คนในกลุ่มนี้มีรวมกันประมาณ 5.3 ล้านคน เมื่อรวมกับคนเจน Y ก็ทำให้คนกลุ่มนี้มีเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 20.5 ล้านคน  กลายเป็นกลุ่มคนขนาดใหญ่ที่สุดและมากกว่ากลุ่มเบบี้บูมกว่า 73%  และนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนเจน Y มีบทบาทที่เติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วงเร็ว ๆ นี้ ถ้าเรามองไปข้างหน้าและตั้งสมมุติฐานว่าคนในแต่ละเจนนั้น  มีมุมมองและความคิดแบบเดิมตามที่เป็นอยู่ในขณะนี้ แล้วปล่อยให้เวลาเดินไปอะไรจะเกิดขึ้น?   ในเวลาอีก 2 ปีข้างหน้าประเทศไทยก็น่าจะมีการเลือกตั้งซึ่งจะบ่งชี้ว่ารัฐบาลจะมีแนวโน้มไปทางไหนถ้าสมมุติว่าผู้ชนะการเลือกตั้งสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ตามเสียงของผู้แทนราษฎร  เราก็จะพบว่าจำนวนของเบบี้บูมก็จะเหลือเพียง 11.1 ล้านคนเพราะคนรุ่นเบบี้บูมจะ “หายไป” เนื่องจากการตายหรือหมดความสามารถหรือไม่อยากที่จะไปเลือกตั้งแล้วประมาณ 6.5 แสนคน  ในทางตรงกันข้าม  คนเจน Y และ Z ที่มีอายุครบ 18 ปีขึ้นไป กลับมีมากขึ้นอีก 1.6 ล้านคนทำให้มีจำนวนคนที่มีสิทธิเลือกตั้งถึง 22.1 ล้านคน หรือประมาณ 2 เท่าของกลุ่มเบบี้บูม ซึ่งถ้าผู้แทนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ก็จะทำให้ประเทศเปลี่ยนแปลงไปตามแนวคิดของเจน Y เร็วขึ้น มองไปข้างหน้าที่ไกลไปกว่านั้น  ในอีก 5 ปีข้างหน้า  คนรุ่นเบบี้บูมที่ยังมีกำลังวังชาพอที่จะมีบทบาทในด้านต่าง ๆ  ก็จะลดลงไปประมาณ 2.4 ล้านคนเหลือแค่ 9.4 ล้านคน  ในขณะที่คนเจน Y และ Z ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปในวันนี้จะเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 4 ล้านคนกลายเป็น 24.5 ล้านคน  บทบาทในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของคนเจน Y+Z กลุ่มนี้ จะสูงกว่าคนรุ่นเบบี้บูมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย แต่ถ้าบอกว่าอนาคตระยะยาวของประเทศไทยอีก 10 ปีข้างหน้าล่ะ ประเทศไทยจะมีหน้าตาอย่างไร?  คนรุ่นเบบี้บูมในวันนี้จะลดลงไปถึง 5 ล้านคนหรือเกือบครึ่งหนึ่ง  เหลือเพียง 6.8 ล้านคน  ในทางตรงกันข้าม  คนเจน Y+Zที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปในวันนี้จะมีคนเพิ่มขึ้นถึง 7.9 ล้านคน ทำให้คนกลุ่มนี้มีมากถึง 28.4 ล้านคน  หรือเป็น 4 เท่าของคนรุ่นเบบี้บูม ถึงวันนั้น  อิทธิพล  แนวความคิดและ “วัฒนธรรม” ที่เป็นของคนรุ่นเบบี้บูมในวันนี้ที่อยู่กับสังคมไทยมานานหลายสิบปีก็คงจะหมดไปถ้าเราตั้งสมมุติฐานว่าคนรุ่นเจน X นั้นไม่ได้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากการที่เป็นเจนที่มีจุดยืนกลางๆ  ที่ไม่ “ซ้ายหรือขวา” คือไม่ติดยึดอะไรมากและพร้อมที่จะปรับตัวไปกับกระแสใหม่ ๆ  ของไทยและโลก ความรู้สึกลึก ๆ ของผมก็คือ  ภายใน 10 ปีข้างหน้า  ประเทศไทยอาจจะเปลี่ยนไปแบบจำแทบไม่ได้            
เพื่อนๆ คิดว่าปีนี้ ดัชนีหุ้นตลาดไหนให้ผลตอบแทนดีที่สุดในโลกคะ ? หลายๆ คนอาจคิดว่าเป็น ดัชนี Nasdaq ที่รวมหุ้นเทคฯ อเมริกา หรือไม่ก็ดัชนี ChiNext ที่รวมหุ้นเทคฯ จีน แต่ที่ถูก..กลับเป็นม้านอกสายตาอย่าง ดัชนี Hanoi (HNX-Index) ของเวียดนามซึ่งให้ผลตอบแทนจากต้นปีสูงถึง +63.76% ขณะที่ผลตอบแทนจากต้นปี (YTD) ของดัชนีเช่นNasdaq = +38.64%ChiNext = +53.43%VN = +10.70% (ดัชนีหุ้น Ho Chi Minh City หรือ VN-Index ของเวียดนาม )SET = -1.71% (SET Index ของไทย) และที่น่าสนใจคือ P/E ของดัชนีหุ้นเวียดนามทั้ง 2 ตลาดก็ยังต่ำกว่าที่อื่นHanoi = 13.36 เท่าNasdaq = 74.48 เท่าChiNext = 64.73 เท่าVN = 16.91 เท่าSET= 25.14 เท่า เหตุผลหนึ่งที่ดัชนี...
(The “Intrinsic Value” Growth vs Your Required Rate of Return) ในแง่ของการลงทุนของคุณนั้นการเติบโตปีต่อปีของ “มูลค่าที่แท้จริง” (intrinsic value) ของธุรกิจจะ “ไม่” เท่ากับอัตราการเติบโตของกำไรของธุรกิจ (หรือที่เหมาะสมกว่าคือการเติบโตของ กระแสเงินสด)…การเติบโตของมูลค่าที่แท้จริงนี้จะเท่ากับอัตราการคิดลด(discount rate) ของ “คุณ” เอง หลังจากที่ได้พูดคุยกับเพื่อนสมาชิกในเพจเราในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา มันค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าพวกเค้ายังสับสนอยู่เกี่ยวกับ 1.อะไรคือมูลค่าที่แท้จริง หรือ intrinsic value ของธุรกิจ? 2.มูลค่าที่แท้จริงนี้จะเติบโตปีต่อปีได้อย่างไร? 3.มูลค่าที่แท้จริงมีความสัมพันธ์กับราคาที่เราจ่ายเพื่อซื้อหุ้นอย่างไร? 4.ผลตอบแทนที่เราคาดหวัง (expected investment return) มีความสัมพันธ์กับสามข้อข้างบนอย่างไร? ผมจะลองอธิบายแนวคิดเหล่านี้โดยใช้คำถามที่เพื่อนคนหนึ่งตั้งถามในเพจ Investment Group ของพวกเรา (Investment Forum by Moneywisesmart)ในวันก่อน “สมมติว่าธุรกิจนั้นซื้อขายกันที่ราคา $100 โดยมีมูลค่าที่แท้จริงอยู่ที่ $80 ธุรกิจถูกคาดหวังว่าจะโต (ในแง่ของกำไร)ด้วยอัตราการเติบโตทบต้น (CAGR) ที่ 30% ในอนาคตอันใกล้ และสมมติให้ต้นทุนค่าเสียโอกาส (opportunity cost of capital) เป็น 24%” ข้อมูลแรกที่ผมจะใช้คือ มูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจ (intrinsic value of a business)...
โลกในมุมมองของ Value Investor     12 ธันวาคม 63 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ช่วงที่ตลาดหุ้นร้อนแรงสุด ๆ อย่างในช่วงเร็ว ๆ นี้ วัดจากปริมาณการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เป็นหลักแสนล้านบาทต่อวัน  เราก็ได้เห็นหุ้นขนาดกลาง ๆ หลายตัว  ถูกนักลงทุนเข้ามาซื้อขายเก็งกำไรหรือถูกใครบางคนเข้ามากวาดซื้อหุ้นของบริษัทเหล่านั้นในจำนวนที่มากจน “หุ้นหมด” ส่งผลให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นอย่างรวดเร็วทะลุ “เพดาน”  ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปหลายเท่าตัวภายในเวลาไม่กี่เดือน  ลักษณะอาการของหุ้นเหล่านี้ผมเรียกว่าเป็นหุ้นที่ถูก “Corner” หรือถูก “ต้อนเข้ามุม”  ราคาจะวิ่งขึ้นไปได้มากจน  “เป็นไปไม่ได้”  และตราบใดที่คนอื่นที่ถือหุ้นอยู่ยังไม่ขายออกมาเป็นเรื่องเป็นราวเนื่องจากเหตุผลบางอย่างรวมถึงการที่พวกเขาคิดว่าหุ้นก็จะยังคงวิ่งต่อไป  ราคาหุ้นที่สูงเสียดฟ้าก็จะยังคงสูงอยู่อย่างนั้น  บางทีก็นานเป็นปี ๆ   หุ้นที่ถูกคอร์เนอร์ในอดีตนั้น  มักจะเป็นหุ้นขนาดเล็กที่มีหุ้นหมุนเวียนในตลาดน้อย  ดังนั้นจึงง่ายที่นักเล่นหุ้นรายใหญ่ บางทีก็แค่รายเดียว  สามารถซื้อหุ้นจนเหลือน้อยและดันราคาขึ้นไปมหาศาลในเวลาอันสั้น  หลังจากนั้นซักระยะหนึ่งเขาก็จะ “ออกของ” หรือทยอยขายหุ้นทิ้งโดยพยายามที่จะไม่ทำให้ราคาตกลงมาเร็วมากจนทำให้ขาดทุนกำไรไปมากหรือถึงกับขาดทุน  และนั่นก็คือการ  “จบเกม”  ซึ่งโดยปกติคนที่เข้าไปเล่นหุ้นตัวนั้นเพราะเห็นราคาวิ่งขึ้นไปมากก็มักจะขาดทุนหนัก  ส่วนคนที่กำไรมหาศาลก็คือคนที่เข้าไปคอร์เนอร์หุ้น  ทั้งโดยตั้งใจหรือเข้าไปร่วมซื้อตั้งแต่ตอนแรก  อย่างไรก็ตาม  อานิสงค์ของขนาดของเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นมากของนักเก็งกำไรและนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นในช่วงเร็ว ๆ  นี้ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตามองมากนั่นก็คือ  ขนาดของหุ้นที่ถูกคอร์เนอร์ขยับขึ้นเป็นหุ้นขนาดกลางที่มี Market Cap. เป็นหมื่นหรือหลายหมื่นล้านบาทที่ถูกต้อนเข้ามุมและดันราคาจนมีมูลค่าหุ้นเป็นหลักแสนล้านหรือหลายแสนล้านบาท  ลองมาดูตัวอย่างว่ามีมากน้อยแค่ไหน ชุดแรกที่มีความร้อนแรงมากนั้น  เป็นหุ้นแนวสินค้าโภคภัณฑ์  ตัวแรกเป็นสินค้าทางการเกษตรอุตสาหกรรมและตัวที่สองเป็นสินค้าที่เป็นชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์อิเลกโทรนิกส์  ทั้งคู่มีราคาวิ่งขึ้นไปเฉลี่ยน่าจะในระดับ 10 เท่าตัวในเวลาอันสั้นไม่กี่เดือนโดยมีสตอรี่ว่าสินค้าขายดีและมีราคาเพิ่มขึ้นมากอานิสงค์จากโควิด-19  มูลค่าของหุ้นหรือ...
พบกับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากรณ์ และกูรูหุ้นเวียดนาม อเมริกา จีน ได้แล้ววันนี้! ใน Facebook กลุ่มปิด! ปรับทัพลงทุนหุ้นเวียดนาม อเมริกา จีนพิเศษสำหรับผู้สมัครสัมมนาชมย้อนหลัง- คลิป VDO สัมมนาคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 62 และปีก่อนที่ไม่เคยเผยแพร่มาก่อน- บทความ/คลิปไอเดียลงทุนของวิทยากรสุดว้าว- ไลฟ์ชวนคุยกับกูรูทั้งในและต่างประเทศ เริ่มศึกษาเรียนรู้ได้ทันทีเดี๋ยวนี้ใน Facebook กลุ่มปิด! ปรับทัพลงทุนหุ้นเวียดนาม อเมริกา จีน เท่านั้น สมัครดูสัมมนาย้อนหลังได้ที่: https://bit.ly/316AyPX สอบถามเพิ่มเติม line: @vietnamvi หรือ Inbox มาที่ facebook.com/vvinvestor
ขอขอบคุณผู้ร่วมสัมมนาปรับทัพลงทุนหุ้น เวียดนาม อเมริกา จีน ทุกท่าน ขอบคุณ อ.ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร (บิดาการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ผู้จุดประกายการลงทุนหุ้นเวียดนาม)คุณหลิน ( วีระพงษ์ ธัม นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ThaiVI)คุณ Petri Deryng (Founder of PYN Fund Management Ltd and portfolio manager of PYN Elite Fund)คุณโต (กิตติศักดิ์ โควินท์ทวีวัฒน์ เจ้าของเพจ Billionaire VI)คุณบอล (ภาคย์ภูมิ ศิริหงษ์ทอง นักลงทุน VI, กรรมการสมาคม ThaiVI, เจ้าของเพจคนสร้างเวลา)คุณณัฐ (ณัฐกิติ สุนทรบุระ นักลงทุน VI)คุณนิด (ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บมจ.หลักทรัพย์ บัวหลวง)คุณเอิร์ธ (รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการ ฝ่าย Global Investing บมจ.หลักทรัพย์ บัวหลวง)คุณเผ่า...
โลกในมุมมองของ Value Investor 28 พฤศจิกายน 63 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ถึงวันนี้ที่ดูเหมือนว่าโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในขณะที่ประเทศไทยกำลัง  “ถดถอย” ในหลาย ๆ  ด้านรวมถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอานิสงค์จากการที่สังคมไทยกำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและการพัฒนาทางด้านศักยภาพของคนก็ยังไม่ก้าวหน้าขึ้นเห็นได้จากความสามารถในวิชาความรู้ต่าง ๆ  เช่น  การใช้ภาษาอังกฤษหรือความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ที่ตกต่ำลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ    นี่ทำให้ผมคิดถึงการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทยต่อจากนี้ไปอีกเป็นสิบ ๆ ปีข้างหน้าว่าเราอาจจะต้องเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยทำมาในอดีต  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  เราอาจจะไม่สามารถลงทุนเฉพาะแต่ในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวได้  การแสวงหาโอกาสการลงทุนในต่างประเทศจะเป็นสิ่งที่นักลงทุนโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ถ้าหวังที่จะได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม คนที่ต้องการลงทุน  “เพื่อชีวิต” ซึ่งหมายความว่าเขาจะต้องลงทุนตลอดเวลาในช่วงที่เขาทำงานหาเงินและเก็บออมเพื่อที่จะสร้างพอร์ตการลงทุนที่จะเติบโตไปเรื่อย ๆ  จนถึงวันเกษียณและมีเงินเพียงพอที่จะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างสุขสบายจนตายนั้น  จะต้องคิดถึงผลตอบแทนการลงทุนที่ดีกว่าการลงทุนอื่น ๆ ในระยะยาวและต้องได้ผลตอบแทนเฉลี่ยอย่างน้อยน่าจะซัก 7% ต่อปีแบบทบต้นขึ้นไป  ซึ่งก็แน่นอนว่าพอร์ตการลงทุนส่วนใหญ่ก็จะต้องเป็นการลงทุนในหุ้นเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น  เพราะ “ประวัติศาสตร์ระยะยาว” บอกว่า  ในตลาดหุ้นของประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีมากนั้น  จะให้ผลตอบแทนแบบทบต้นสูงกว่า 7% ต่อปีได้  บางประเทศที่โดดเด่นจริง ๆ  ซึ่งรวมถึงประเทศไทยในอดีตนั้น  ให้ผลตอบแทนถึงเกือบ 10% ต่อปีเป็นเวลาหลายสิบปีด้วยซ้ำ หน้าที่ของคนหนุ่มสาวที่อาจจะเพิ่งเริ่มลงทุนมาไม่นานก็คือการวิเคราะห์และเลือกหาตลาดหุ้นและหุ้นที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีในอีกอย่างน้อย 10 หรือหลายสิบปีข้างหน้า  ลงทุนถือหุ้นระยะยาวไปเรื่อย ๆ  ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่วิธีการที่ผมและนักลงทุน VI จำนวนมากเคยใช้ในตลาดหุ้นไทยเมื่อประมาณ 20 ปีก่อนและประสบความสำเร็จอย่างสูงจนมีอิสรภาพทางการเงินหรือรวยตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 50-60 ปีในวันนี้  นักลงทุนรุ่นใหม่จะต้องตระหนักว่า  ถ้าประเทศไทยโตช้าหรืออิ่มตัวแล้วเนื่องจากคนแก่ตัวลงและไม่สามารถเพิ่มผลิตภาพได้  ตลาดหุ้นก็จะไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้เช่นกัน  ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือที่ญี่ปุ่นที่ตลาดหุ้นไม่ได้ให้ผลตอบแทนในระยะยาวเป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้ว ในความคิดของผม ...
โลกในมุมมองของ Value Investor    21 พฤศจิกายน 63 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร             แนวความคิดเรื่อง Value Investing หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่าในประเทศไทยนั้น  เกิดขึ้นมาหลังปี 2540 ซึ่งเป็นปีที่เกิดวิกฤติ  “ต้มยำกุ้ง”  ถึงวันนี้ก็เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว  ในช่วงแรก ๆ  นั้น  หุ้นที่ “เข้าข่าย” เป็นหุ้น “Value” ซึ่งก็คือหุ้นที่มี “มูลค่าพื้นฐาน” สูงกว่าราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ  มี  “เต็มตลาด”  หรือพูดให้ชัดก็คือ   ราคาหุ้นในตลาดเกือบทุกตัวตกลงมามากจนต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน  ดังนั้น  เกือบทุกคนที่เข้าไปลงทุนในช่วงนั้นก็คือ  “Value Investor”  และถ้าเขาถือหุ้นเป็นพอร์ตโฟลิโอและถือยาวพอ  โอกาสที่จะทำกำไรก็สูงมาก             แต่คนที่เรียกตัวเองว่าเป็น Value Investor หรือ “VI” ในช่วงนั้น  ไม่ได้กวาดซื้อหุ้น VI ทุกตัว  พวกเขาเน้นลงทุนแบบ Focus หรือถือหุ้นน้อยตัวในสไตล์ของวอเร็น บัฟเฟตต์  และหุ้นที่เลือกก็เป็นหุ้นของบริษัทที่ดีหรือดีเยี่ยม  ในแง่ที่ว่ามันมีความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจในเชิงของการตลาดสูง  มีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่ดี  และมีศักยภาพที่จะ “เติบโตอย่างรวดเร็ว” ในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตอานิสงค์จากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของประเทศไทย             เวลาผ่านไปเกือบ 20...
โลกในมุมมองของ Value Investor   14 พฤศจิกายน 63 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร             นักลงทุนหรือคนเล่นหุ้นในตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนที่ลงทุนระยะสั้น  และวิธีที่ใช้ก็คือการ “เล่นหุ้นตามสถานการณ์” นั่นก็คือ  การซื้อ-ขายหุ้นโดยอิงกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ  สังคมและการเมืองที่เกิดขึ้น  ซึ่งเหตุการณ์เหล่านั้นก็มักจะมีผลกระทบต่อหุ้นแต่ละตัวที่แตกต่างกันมากบ้างน้อยบ้างและอาจจะกระทบในด้านที่ดีเป็นคุณหรือบางทีก็กระทบในด้านที่เสียเป็นโทษ  พวกเขาจะวิเคราะห์เหตุการณ์ต่าง ๆ  และลงมือปฏิบัติหรือซื้ออย่างรวดเร็วเมื่อคิดว่าสถานการณ์เอื้ออำนวยต่อหุ้นกลุ่มใดหรือตัวใดตัวหนึ่ง  และก็จะรีบขายทันทีเมื่อคิดว่าหุ้นกลุ่มใดหรือตัวใดจะถูกกระทบหนัก  ประเด็นในเรื่องของ “พื้นฐาน” และราคาหุ้นของบริษัทเป็นตัวรอง  เพราะเขาคิดว่ายังไงหุ้นก็ขึ้นถ้ามี “ข่าวดี”  และหุ้นก็จะต้องตกเมื่อมี “ข่าวร้าย” เพราะฉะนั้นจึงต้องซื้อหรือขายก่อน  ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะวิเคราะห์พื้นฐานให้เสียเวลาและทำให้ขาดทุนหรือพลาดโอกาสในการทำกำไรอย่างรวดเร็ว             การระบาดของไวรัสโคโรนาในวิกฤติโควิด-19 นั้น  เป็นสถานการณ์ที่แปลกประหลาดในแง่ที่ว่ามันทำให้เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจซึ่งทำให้บริษัทจดทะเบียนจำนวนมากที่เป็น “ธุรกิจเก่า” สูญเสียธุรกิจไปมากอย่างไม่เคยเจอมาก่อน  ธุรกิจการท่องเที่ยวเดินทางและบันเทิงที่มีการชุมนุมคนจำนวนมากแทบจะต้องหยุดอย่างสิ้นเชิงในช่วงแรกและถึงวันนี้ก็ยังไม่ฟื้น  อย่างไรก็ตาม  โควิดกลับเป็นผลดีต่อธุรกิจใหม่โดยเฉพาะดิจิตอลที่เติบโตขึ้นอย่างมหาศาลในเวลาอันสั้น  ผลที่มีต่อตลาดหุ้นก็คือ  ในช่วงแรกของวิกฤตินั้น  ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาต่ำมากถึง 30-40%  แต่ภายในระยะเวลาอันสั้น  ดัชนีตลาดหุ้นของประเทศที่มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีสูงก็ปรับตัวขึ้นและสูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ด้วยซ้ำ  อานิสงค์จากการที่หุ้นดิจิตอลและหุ้นไฮเท็คปรับตัวขึ้นมาสูงมากเป็นประวัติการณ์  กลายเป็นว่าวิกฤติโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจพังแต่ตลาดหุ้นกลับดีขึ้น             ในตลาดหุ้นไทยเองนั้น  แม้ว่าเราจะไม่มีหุ้นดิจิตอลหรือเทคโนโลยีที่มีขนาดใหญ่หรือมีนัยสำคัญ  แต่ก็มีหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์โควิดอยู่บ้าง  เช่นเดียวกับหุ้นบางกลุ่มหรือบางตัวที่ไม่ได้ถูกกระทบจากเหตุการณ์โควิดนัก  หุ้นเหล่านี้ก็เช่น  หุ้นที่เกี่ยวข้องกับถุงมือยางที่มีความต้องการใช้มากขึ้นทั่วโลกเพื่อป้องกันบุคลากรทางการแพทย์จากการติดเชื้อโควิด  บริษัทประกันภัยที่ได้รับเบี้ยประกันเพิ่มจากคนที่ประกันโควิด  บริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนอิเลคโทรนิกส์ส่งออกที่ได้รับคำสั่งซื้อมากขึ้นเพราะสินค้าไฮเท็คมีความต้องการมากขึ้น  เป็นต้น  ดังนั้น  หุ้นเหล่านั้นก็กลายเป็นหุ้นที่นักเล่นหุ้นที่เน้นการเก็งกำไรระยะสั้นเข้ามาซื้อและดันให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปสูงมากคล้าย ๆ  กับหุ้นไฮเท็คของต่างประเทศ  อย่างไรก็ตาม ...

MOST POPULAR