โลกในมุมมองของ Value Investor    26 สิงหาคม 66

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ในมุมมองของผมที่เป็น  “นักลงทุนอาชีพ” หรือคนที่ทำงานหลักเป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มาหลายสิบปี  และก่อนหน้านั้นก็ทำงานเป็นวิศวกรในโรงงาน  เป็นพนักงานด้านการวางแผนและบริหารเงินของกิจการให้บริการเงินกู้และเงินร่วมทุนขนาดใหญ่  และต่อมาก็ทำงานในบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่ให้บริการเป็นที่ปรึกษาและระดมเงินให้กับบริษัทต่าง ๆ  ทั้งที่เป็นบริษัทเอกชนและบริษัทในตลาดหุ้น  ผมก็รู้สึกว่า  งานแต่ละอาชีพนั้นมีลักษณะและคุณสมบัติไม่เหมือนกัน  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  มีความสุขและความทุกข์ไม่เท่ากัน  เช่นเดียวกับที่มีรายได้ที่แตกต่างกัน

เมื่อคิดย้อนกลับไป  ถ้าผมรู้ว่าเราควรจะเลือกก่อนว่าอาชีพไหนที่จะให้ความสุขมากกว่าและได้เงินดีกว่าสำหรับคนที่มีคุณสมบัติแบบที่ผมเป็น  ผมก็คงจะไม่ทำงานแบบนั้นทั้งหมด  ผมคงจะพยายามหา  “อาชีพในฝัน”  ทำแล้วมีความสุข  และได้เงินมาก ๆ  ตั้งแต่แรก  ไม่มาเริ่มทำเมื่ออายุกว่า40 ปี ที่ผม “บังเอิญ” ต้องมาเป็น “นักลงทุนอาชีพ” หลังจากที่ต้องตกงานในวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540  และก็พบว่า  อาชีพนักลงทุนนั้นก็คือ  “อาชีพในฝัน” ที่ทำแล้วมีความสุข  อยากทำทุกวัน  เหมือนกับที่วอเร็น บัฟเฟตต์พูดว่า  เขาแทบจะ  “เต้นแท็ปไปทำงาน” ทุกวัน 

แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว  การลงทุนก็อาจจะไม่ใช่ “อาชีพในฝัน” ที่ทำแล้วมีความสุขและได้เงินมาก  เพราะการทำอาชีพอะไรก็ตาม  มันก็จะต้องเหมาะกับคุณสมบัติและนิสัยและความชอบของแต่ละคนด้วย  อย่างไรก็ตาม  จากประสบการณ์ของผม  งานหรืออาชีพที่ผมคิดว่าน่าจะมีความสุขหรือมีทุกข์น้อยกว่า  และคนไม่ต้องมี IQ สูงก็ทำได้  น่าจะมีลักษณะดังต่อไปนี้

ข้อแรกก็คือ  มันต้องเป็นงานที่  “มีความหมาย” หรือเป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือคนอื่น  และอย่างน้อยก็ให้ผลตอบแทนที่ดีพอต่อการใช้ชีวิตของเรา  นอกจากนั้นสถานที่ทำงานก็ต้องอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ดี  ไม่มีมลพิษที่กระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของเรา  นี่ก็เป็นเรื่องพื้นฐานเบื้องต้น  ซึ่งคิดดูแล้ว  สมัยที่ผมเป็นวิศวกรเมื่อเกือบ 50 ปี  มันไม่ผ่าน

ข้อต่อมาก็คือ  งานต้องเหมาะกับนิสัยและความสามารถของเรา  ซึ่งจะช่วยให้เรามีโอกาสประสบความสำเร็จในงานที่ทำ  ซึ่งโอกาสก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในงานก็คือสิ่งที่จะก่อให้เกิดความสุข  และเงินที่จะได้มากขึ้น

ความสุขในอาชีพและการทำงานที่สำคัญมากอย่างหนึ่งก็คือการที่เราจะไม่เครียดหรือมีความกังวลที่มากเกินไปที่มักจะเกิดจากการที่ไม่สามารถทำงานได้ตามเป้าหมาย   และถ้าเป้าหมายนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเกินไป  อาจจะเป็นเพราะผู้บังคับบัญชามีความเข้มงวดตั้งเป้าหมายสูงเกินไป และ/หรือบริษัทหรือเราไม่ได้มีความได้เปรียบในการแข่งขันเทียบกับคู่แข่ง  เราก็จะเครียด  กังวล และไม่มีความสุขในการทำงาน  หรือถ้าพูดแบบง่าย ๆ  ก็คือ  การถูกวัดผลงานแบบเข้มข้นและโดยผู้บังคับบัญชานั้น  เป็นสิ่งที่ทำให้การทำงานมีความสุขน้อยลงมาก

อาชีพที่ทำแล้วมีความสุขก็คือความเป็นอิสระและ/หรือความยืดหยุ่น  ซึ่งนี่ก็รวมถึงความเป็นอิสระที่จะสามารถทำงานตามเวลาที่สะดวกของเรา  การมีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ และการที่สามารถที่จะได้ผลตอบแทนตามผลงานที่ยุติธรรม เช่น  ทำดีหรือทำมากได้มาก  ทำน้อยได้น้อย  เป็นต้น

เพื่อนร่วมงานและผู้ที่เกี่ยวข้องก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้อาชีพนั้นก่อให้เกิดความสุขหรือความทุกข์มากกว่ากัน  อาชีพบางอย่างอาจจะมีการแข่งขันหรือแก่งแย่งชิงดีมากกว่าอาชีพอื่น  ดังนั้น  เพื่อนร่วมงานก็มักจะเป็นแหล่งที่จะทำให้มีความสุขหรือความทุกข์ที่สำคัญ  ในหลายอาชีพนั้น  เพื่อนร่วมงานมักจะต้องช่วยกันมากกว่าแข่งขัน  บางอาชีพก็เป็นแบบต่างคนต่างทำหน้าที่  ซึ่งก็จะทำให้มีความสุขมากกว่าสำหรับการทำงาน

อาชีพบางอย่างนั้น  มีลักษณะที่ก่อให้เกิดความสุขและหลีกเลี่ยงความทุกข์หลายข้อดังที่กล่าวถึง  นอกจากนั้นก็ยังให้ผลตอบแทนเป็นตัวเงินที่ดีพอ    ดังนั้น  ก็จะเป็น  “อาชีพในฝัน” สำหรับคนที่อยากทำงานอย่างมีความสุข  ตัวอย่างก็น่าจะรวมถึงอาชีพต่อไปนี้  ซึ่งผมเองก็สังเกตพบว่าคนที่ทำก็มักจะมีความสุขและก็ไม่ค่อยที่จะเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนอาชีพบ่อย

กลุ่มแรกก็คือ  อาชีพครูอาจารย์และผู้สอนในสาขาวิชาต่าง  ๆ   เพราะนี่คืออาชีพที่ค่อนข้างอิสระและมีคนนับหน้าถือตา  ไม่มีใครมาประเมินผลงานอะไรมากนัก  และรายได้นั้นแม้ว่าจะไม่สูงหรือเติบโตมากนัก  แต่การหารายได้เพิ่มจากการเป็นครูพิเศษก็ดูเหมือนว่าจะดีทีเดียวเมื่อเทียบกับรายได้จากอาชีพอื่น  ว่าที่จริงในปัจจุบันนั้น  คนที่มีทักษะหรือความสามารถบางอย่างสามารถที่จะยึดอาชีพเสริมเป็นครูพิเศษหรือติวเตอร์ได้ไม่ยาก  เพราะเด็กหรือคนรุ่นใหม่ต่างก็พร้อมจ่ายเงินเรียนรู้ทักษะสารพัดรวมถึงการทำศิลปะ  ทำอาหาร  เล่นกีฬา และฝึกภาษา เป็นต้น

อาชีพพนักงานบริการบนเครื่องบินเช่น แอร์โฮสเตสหรือนักบิน  นี่ก็เป็นอาชีพที่คนทำมักจะมีความสุข  อาจจะเนื่องจากได้ท่องเที่ยวด้วย  รายได้ดี  การทำงานเมื่อทำแล้วเสร็จก็จบเป็นเที่ยว ๆ  ไม่ต้องมีความกังวลหรือต้องรับผิดชอบงานต่อเนื่อง  และถึงแม้ว่าจะต้อง “ให้บริการ” คนอื่น  แต่ก็ดูเหมือนว่าคนรับบริการก็มักจะประพฤติปฏิบัติดีกว่าการรับบริการบนพื้นดิน

อาชีพพิธีกร  ผู้ประกาศและนักแสดงในสื่อต่าง ๆ  ก็มักจะเป็นอาชีพที่คนทำมีความสุขและมีรายได้ดี  จริงอยู่  ไม่ใช่ว่าทุกคนมีความสามารถที่จะทำได้  แต่การฝึกฝนก็ทำได้ไม่ยากเหมือนกับการเป็นวิศวกรหรือวาณิชธนกิจ  อาชีพพิธีกรนี้ก็เช่นเดียวกับอาชีพในฝันอื่น ๆ  ที่เมื่องานจบแล้วความเครียดก็จบ  ไม่ต้องเก็บกลับบ้านไปคิดหรือกังวลอีกต่อไป  จริงอยู่  การเป็นนักแสดงก็อาจจะต้องมีการท่องบท  แต่ก็เป็นเรื่องที่จะติดอยู่ในสมองในช่วงเวลาสั้น ๆ  ไม่น่าจะทำให้  “นอนไม่หลับ” เหมือนงานอื่นในบางอาชีพ

สุดท้ายที่จะพูดถึงและน่าจะเป็น  อาชีพในฝันสำหรับคนจำนวนไม่น้อยก็คือ  “นักลงทุน” โดยเฉพาะในตลาดหุ้น  และสิ่งที่ผมจะเน้นก็คือ  เป็น “นักลงทุนระยะยาวแบบ VI” ในแบบของวอเร็น บัฟเฟตต์ และตัวผมเอง  ซึ่งก็ยึดถือแบบอย่างของบัฟเฟตต์  โดยที่ความแตกต่างอาจจะมีอยู่บ้างในแง่ที่ว่าบัฟเฟตต์ยังต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นของเบิร์กไชร์จำนวนมาก  แต่ผมเองนั้นรับผิดชอบเฉพาะคนในครอบครัว

การเป็นนักลงทุนส่วนบุคคลระยะยาวแบบ VI นั้น  เป็นการลงทุนที่มีความสุขด้วยเหตุผลมากมาย  แต่จะมีความสุขจริง ๆ  ในระยะยาวได้จะต้องมีเงื่อนไขว่าเรา “ประสบความสำเร็จ” จนกระทั่ง “มีอิสรภาพทางการเงิน” แล้ว  ซึ่งนั่นก็หมายความว่า  เราอาจจะต้องมีเงินเริ่มต้นมากพอที่จะไม่ต้องทำงานอย่างอื่นแต่ก็มีเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้  ซึ่งนั่นก็คือ  เราจะต้องมีเงินต้นอย่างน้อย 200 เท่า ของรายจ่ายประจำเดือน  เราถึงจะยึดอาชีพเป็นนักลงทุนระยะยาวแบบ VI ได้  ตัวอย่างเช่น  ถ้ามีค่าใช้จ่ายเดือนละ 50,000 บาท  เราจะต้องมีเงินต้นถึง 10 ล้านบาท ก่อนที่จะคิดเป็น “นักลงทุนอาชีพ”

ถ้ายังมีไม่ถึง  เราจะต้องหาเงินให้ถึง  อาจโดยการทำงานประจำอย่างอื่นและมีอาชีพหรืองานเสริมเป็นนักลงทุนสมัครเล่นไปก่อน  และถ้าอยากทำงานอย่างมีความสุขก็อาจจะเลือกงานในฝันอย่างอื่นไปก่อน  เช่น  อาจจะเป็นนักบินหรือแอร์โฮสเตสที่มีรายได้ดีและเก็บเงินให้มากพอแล้วจึงเปลี่ยนมาเป็น  VI เต็มตัว  เป็นต้น

อาชีพนักลงทุนระยะยาวแบบ VI นั้น  ข้อดีก็คือ  เราเป็นเจ้านายตนเอง  มีอิสระเสรีในการทำอะไรก็ได้ที่เราชอบ  ไม่มีเวลาทำงานตายตัว  ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอหุ้น  ว่าที่จริงไม่ว่าเราจะอยู่แห่งไหนของโลก  เราก็ซื้อขายหุ้นได้  แต่จริง ๆ  เราก็ไม่จำเป็นที่จะทำงานตอนตลาดหุ้นเปิด  เพราะส่วนใหญ่แล้วเราจะซื้อขายหุ้นน้อยมาก  ปีหนึ่งก็ทำไม่กี่ครั้ง  แต่เราก็ทำงานทุกวันโดยการศึกษาข้อมูลทั้งในหนังสือและในชีวิตจริง

ข้อเสียของอาชีพ VI ข้อหนึ่งนั้นก็คือ  การที่เราจะไม่มี “หัวโขน” ในสังคม  เราจะไม่มีสถานะอะไรที่คนทั่วไปจะยกย่องนับถือโดยเฉพาะในสังคมไทยที่ยังอนุรักษ์นิยมและคนคุ้นชินกับตำแหน่งหน้าที่ที่เป็น “ทางการ” และ “อำนาจตามวัฒนธรรมและประเพณี” มากกว่าความสามารถและผลงานที่คน ๆ นั้นมอบให้แก่สังคม

จริงอยู่ว่าในภาวะปัจจุบัน  นักธุรกิจและเจ้าของกิจการธุรกิจที่ “ร่ำรวย” ก็เป็น  “Class” หรือ “ชนชั้นทางสังคม” ที่กำลังได้รับการชื่นชมยอมรับมากขึ้นเรื่อย ๆ  เทียบเคียงกับคนในกลุ่มที่มี “หัวโขน” แล้ว  แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ยังห่างชั้นจาก “เจ้าของธุรกิจ” มาก  แม้ว่า “VI” โดยเนื้อแท้แล้วก็เป็นเจ้าของธุรกิจเช่นเดียวกัน  เพียงแต่ไม่ได้เป็นเจ้าของส่วนใหญ่เท่านั้น   



🇻🇳 VVI Membership
ดูรายละเอียดและสมัครได้ที่ https://class.vietnamvi.com
หรือ ติดตามเราได้ที่

– Line: @vietnamvi คลิ๊ก https://lin.ee/Jy9n680
– Website:  www.vietnamvi.com
– facebook:  https://www.facebook.com/vvinvestor
– Youtube: youtube.com/c/vietnamvi
– E-mail: info@vietnamvi.com