โลกในมุมมองของ Value Investor     23 พฤศจิกายน 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร จากประสบการณ์ของผมเองที่ได้เห็น  “ความล่มสลาย” ของธุรกิจต่าง ๆ  ต่อเนื่องยาวนานไม่น้อยกว่า 50 ปี ซึ่งได้ส่งผลให้ความมั่งคั่งของเจ้าของ “ล่มสลาย” ลงตามธุรกิจนั้น   ความล่มสลายที่ว่านั้น  คนอาจจะมีความรู้สึกหรือคิดว่ามันเป็นเรื่องของธุรกิจขนาดใหญ่หรือคนระดับเจ้าสัวหรือเศรษฐีใหญ่ที่คนทั่วไปรู้จักกันเป็นอย่างดี   แต่จริง ๆ  แล้วมันรวมถึงการล่มสลายของธุรกิจขนาดเล็กที่เป็น SME หรือธุรกิจขนาดกลางที่เป็น  “กงสี” ของครอบครัวที่มักจะมีพี่น้องหลายคนเป็นเจ้าของร่วมกันด้วย ในบทความนี้ผมจะพูดถึงความคิดของผมที่มีต่อธุรกิจขนาดเล็กและกลางที่เป็น “ธุรกิจครอบครัว” ที่ก่อตั้งและดำเนินการมานานอย่างน้อยน่าจะเป็น 10 ปีขึ้นไป  ส่วนใหญ่อาจจะทำมาเกิน 20 ปี  และบริหารโดยผู้ก่อตั้งหรือสมาชิกที่เป็นลูกหลานของผู้ก่อตั้งธุรกิจ  เขาเหล่านั้น  รู้จักและคุ้นเคยกับธุรกิจเป็นอย่างดี  “แทบจะหลับตาทำ” ได้  ความคิดที่จะปรับเปลี่ยนหาวิธีทำงานแบบใหม่นั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญรีบด่วน  ว่าที่จริงก็ไม่รู้จะปรับอย่างไรเพราะว่าก็ทำมานานมีกำไรอยู่ได้และธุรกิจก็โตมาเรื่อย ๆ  ฐานะของผู้บริหารและที่บ้านเองก็ “ร่ำรวย” พอสมควรสามารถใช้ชีวิตหรูหราและมีความสุขไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก  แต่สำหรับผมแล้ว  ผมคิดว่าพวกเขาส่วนใหญ่อาจจะกำลังตกอยู่ในภาวะที่ “อันตราย” โดยไม่รู้ตัว  อันตรายที่ว่านั้นก็คือ  การที่ธุรกิจของตนอาจจะ “ล่มสลายลง”  หรือค่อย ๆ ตกต่ำลงอย่างช้า ๆ  จนต้องปิดตัวลง  ความมั่งคั่งที่มีอยู่นั้น  พอถึงเวลาอีก 10-20 ปีข้างหน้าอาจจะสูญหายไป  ตัวเขาหรือลูกหลานอาจจะไม่ใช่คนรวยอีกต่อไป  และเมื่อถึงเวลานั้น  เขาก็จะรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ปรับตัวเพื่อหนีให้พ้นจากสภาวะนั้นในช่วงเวลาที่ยังทำได้ เหตุผลก็คือ  ธุรกิจที่อยู่มานานแล้วนั้น  ถ้าเศรษฐกิจยังเติบโตดี  ความต้องการสินค้าและบริการยังเพิ่มขึ้นและไม่มีผลิตภัณฑ์แบบใหม่มาทดแทน  พวกเขาก็จะยังสามารถขายสินค้าเพิ่มขึ้นและมีกำไรเพิ่มขึ้น  คนที่ประสบความสำเร็จก็จะสามารถเติบโตและร่ำรวยขึ้น  และนี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาจนถึงเมื่อเร็ว ๆ  นี้ และธุรกิจภาคส่วนที่เป็น  “ดารา”  และก่อให้เกิด “เศรษฐี”จำนวนมากในเมืองไทยก็คือ “โรงงานผลิตสินค้า” โดยเฉพาะที่เป็นผู้ส่งออกที่ประเทศไทยสามารถแข่งขันในระดับโลกได้   นอกจากโรงงานแล้ว  ภาคเศรษฐกิจที่เป็นผู้ค้าขายในประเทศเองก็เติบโตขึ้นตามความมั่งคั่งของคนในประเทศที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว  คนที่ทำธุรกิจค้าขายรายใหญ่ระดับจังหวัดหรือภาคก็กลายเป็นกลุ่มคนร่ำรวยของสังคมด้วย แต่ธุรกิจทุกอย่างนั้นก็มีวงจรชีวิตของมัน  กล่าวคือมีช่วงเวลาของการเติบโตอย่างช้า ๆ  เติบโตเร็ว  อิ่มตัว และสุดท้ายก็ตกต่ำลงและอาจจะตายในที่สุด  ธุรกิจครอบครัวเองก็ไม่เว้น  ในอดีตนั้น  วงจรแต่ละช่วงอาจจะยาว  ธุรกิจโตไปได้เป็นสิบหรือหลายสิบปี  อานิสงค์จากการที่เศรษฐกิจไทยที่เติบโตสูงต่อเนื่องยาวนานและไม่ค่อยมีผลิตภัณฑ์แบบใหม่มาทดแทนของเดิม  อย่างไรก็ตาม  ผมก็ยังพบเห็นตลอดมาว่าธุรกิจครอบครัวที่เคยเข้มแข็งและเจ้าของมั่งคั่งมานานต่างก็ล่มสลายลงเนือง ๆ  สมาชิกในครอบครัวกลายเป็นแค่ “คนชั้นกลาง” เหมือนกับตัวผมเองที่เป็นคนกินเงินเดือนมาตลอดชีวิต  เหตุผลหลักก็คือ  ธุรกิจที่เขาทำนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก  คู่แข่งใหม่แข็งแกร่งกว่าเขาเพราะเป็นบริษัทขนาดใหญ่และบ่อยครั้งก็มาจากต่างประเทศ ในช่วงหลัง ๆ  ประมาณซัก 10 ปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าวงจรของธุรกิจต่าง ๆ จะสั้นลงมากอานิสงค์จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโดยเฉพาะในด้านของดิจิตอลซึ่งทำให้ธุรกิจ “ดั้งเดิม” ทั้งหลายต้องปรับตัวเพื่อรับกับการแข่งขันใหม่ๆ  ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนปรับตัวไม่ทัน  นั่นประกอบกับการที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากเหตุผลต่าง ๆ  รวมถึงการที่คนไทยแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและอัตราการเกิดน้อยลงมากทำให้ธุรกิจครอบครัวจำนวนมากตกอยู่ในอันตรายจากการที่จะถูก Disrupt ได้  และนี่ก็คือความเสี่ยงหรืออันตรายที่ผมพูดถึงและผมเชื่อว่าธุรกิจครอบครัวจำนวนมากก็อาจจะยังไม่ตระหนักและรีบปรับตัวให้เร็วก่อนที่จะสายเกินไป ในฐานะที่เป็น  “มนุษย์หุ้น”  ปัญหาอะไรต่าง ๆ  ผมก็มักจะพยายามแก้ไขโดยหุ้น  การวิเคราะห์ปัญหาของผมก็คือ  คนที่ทำธุรกิจครอบครัวนั้นก็คือคนที่ถือหุ้นของบริษัทหรือกิจการนั้น 100% และถ้ามีเพียงหนึ่งธุรกิจก็คือเขา  “ถือหุ้นเพียงตัวเดียว” ในพอร์ต  ไม่มีการกระจายความเสี่ยงเลย  คนที่ถือหุ้นเพียงตัวเดียวนั้น  บ่อยครั้งก็อาจจะรวยไปเลยถ้าหุ้นตัวนั้นดีสุดยอดและวิ่งขึ้นไปสูงมาก  แต่ถ้าเกิดปัญหาหรือซื้อหุ้นผิดตัว หรือพื้นฐานหุ้นแย่ลงมาก  การขาดทุนและหายนะก็อาจจะเกิดขึ้นได้  และนี่ก็อาจจะคล้าย ๆ  กับหุ้นที่ถูก Disrupt ไปแล้วหลาย ๆ  ตัวเมื่อเร็ว ๆ  นี้   ลองคิดดูว่าถ้าเป็นธุรกิจครอบครัวที่ไม่สามารถขายได้เลยแล้วถูก Disrupt  มูลค่าหุ้นจะเหลือเท่าไร?  บางคนอาจจะคิดว่าทรัพย์สินโดยเฉพาะที่เป็นที่ดิน  อาคาร  โรงงานและเครื่องจักรนั้นมีมูลค่าเป็นร้อย ๆ ล้านบาทซึ่งเป็นเครื่องแสดงถึงความร่ำรวยที่ครอบครัวมีอยู่นั้นไม่เหมือนหุ้นที่หมดค่าได้ง่าย ๆ    แต่นั่นเป็นแค่ “ภาพลวงตา” เพราะในยามที่ธุรกิจไม่สามารถอยู่ต่อได้แล้ว  ทรัพย์สินที่มีอยู่ยกเว้นที่ดินก็อาจจะกลายเป็นแค่เศษเหล็กที่ไม่มีค่าอะไรเลย ทางแก้ของผมก็คือ  คนที่ทำแต่ธุรกิจครอบครัวนั้นจะต้องเริ่มกระจายความเสี่ยง  ไม่ใช่ไปตั้งธุรกิจใหม่อีกแห่งหนึ่งแม้ว่านั่นก็อาจจะช่วยได้บ้าง   แต่สิ่งที่ควรทำก็คือ  นำเอาเงินหรือความมั่งคั่งที่เก็บสะสมมายาวนานไปลงทุนในหุ้นที่ทำธุรกิจหลากหลาย  ธุรกิจหนึ่งก็อาจจะเป็นธุรกิจที่เราทำอยู่และเรารู้จักดีมากเพราะเป็นคู่แข่งกันในท้องตลาด  เลือกเอาบริษัทที่เราคิดว่าแข็งแกร่งและเป็นผู้ชนะและอาจจะเป็นตัวที่กำลังทำลายธุรกิจครอบครัวของเราด้วย  โดยที่ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อนั้นเราก็จะต้องดูว่าราคาหุ้นนั้นถูกหรือยุติธรรมไหม  กำไรและปันผลของมันดูดีกว่าการลงทุนในธุรกิจของครอบครัวที่ทำอยู่ไหม เมื่อเราเริ่มเข้าใจว่าการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นแท้ที่จริงก็คือการทำธุรกิจโดยการเป็นเจ้าของธุรกิจบางส่วนแล้ว เราก็ควรจะต้องคิดต่อไปว่าการมีแค่ 2 ธุรกิจก็อาจจะไม่พอในยามที่วงจรธุรกิจเปลี่ยนเร็วมากในปัจจุบัน  เราอาจจะคิดว่าน่าจะมีซัก 3 หรือ 4 หรือ 5 ธุรกิจ  แต่ผมคิดว่าเราไม่ควรมีธุรกิจจำนวนมากเกินไปจนเราไม่สามารถรู้หรือติดตามได้ว่าธุรกิจกำลังอยู่ในวงจรไหนของการเติบโตซึ่งจะทำให้เราลงทุนในธุรกิจที่ไม่คุ้มค่าและทำให้เราเสียหายได้  การซื้อหุ้นหลายตัวมากเกินไปนั้น  ในที่สุดเราก็มักจะขายไปและซื้อหุ้นตัวใหม่ไปเรื่อย ๆ  และกลายเป็นว่าเรากำลัง  “เล่นหุ้น”  ซึ่งก็คือเราไม่ได้คิดถึงพื้นฐานของการเป็นธุรกิจเลย  เราเอาแต่เก็งว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงในระยะสั้นแข่งกับคนอื่นซึ่งจะไม่ใช่การแก้ปัญหาว่าธุรกิจครอบครัวกำลังอยู่ในอันตรายและมันอาจจะกระทบกับความมั่งคั่งของตนเองและครอบครัวได้ ในกรณีที่เรา “วิเคราะห์หุ้นไม่เป็น”  ทางแก้ปัญหาก็คือการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นโดยเฉพาะที่เป็นกองทุนอิงดัชนีหลัก ๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ  นี่คือการที่เราเลือกลงทุนในหุ้นหรือกิจการ “ชั้นนำ” ที่สุดของประเทศไทยหรือของต่างประเทศ  โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนและรักษาความมั่งคั่งของตนและครอบครัวไว้ก็จะมีสูงกว่าการทำธุรกิจครอบครัวเพียงอย่างเดียวซึ่งก็เหมือนกับการมีหุ้นเพียงตัวเดียวและอาจจะเป็นหุ้นที่กำลังถูก Disrupt ด้วย แน่นอนว่าการปรับตัวโดยการเปลี่ยนธุรกิจหรือเลิกธุรกิจที่เป็นโรงงานใหญ่โตที่ครอบครัวทำมานานนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ทรัพย์สินอาจจะ 70-80% ของครอบครัวอาจจะอยู่ในธุรกิจที่ไม่สามารถขายออกไปได้แม้ว่าจะอยากทำ  เจ้าของธุรกิจจำนวนมากนั้นมักจะเป็น  “นักสู้” ที่เมื่อธุรกิจมีปัญหาก็จะต้องกอบกู้ซึ่งบ่อยครั้งก็จะต้อง “เพิ่มเงิน” ลงไป  ในเรื่องของการลงทุนในตลาดหุ้น  บางทีเราก็เรียกว่า  “ซื้อถัว” คือหุ้นมันตกลงมาต่ำกว่าทุนแล้วเราคิดว่าในที่สุดหุ้นจะปรับตัวกลับขึ้นมาเราก็เลยซื้อหุ้นเพิ่ม    ผมเองคงบอกไม่ได้ว่าควรทำหรือไม่  เจ้าของธุรกิจจะต้องวิเคราะห์เองว่าคุ้มไหม บางทีเขาควรจะปรับเปลี่ยน Mindset หรือความคิดจากการเป็นนักสู้มาเป็น  “นักเลือก” บ้างว่า  เราไม่ควรจะต้องสู้ทุกครั้งโดยเฉพาะถ้าเรารู้ว่าหนทางประสบความสำเร็จนั้นน้อยลงมากในภาวการณ์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป  ในกรณีแบบนี้ บางทีการ “Stop Loss” หรือขายทิ้งหรือหยุดการเพิ่มเงิน  แล้วนำเงินนั้นไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นและในธุรกิจอื่นอาจจะดีกว่า ———-พบกับ ดร.นิเวศน์ฯ และกูรูหุ้นเวียดนาม ในสัมมนาวันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 15 ธ.ค 62 รายละเอียด-สมัครคลิ๊ก: http://bit.ly/32fIaOn
เวียดนามและเศรษฐกิจแบบเปิดซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงมานานหลายปี ดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติเข้าสู่เวียดนามอย่างต่อเนื่อง นักวิเคราะห์ให้ความสังเกตว่า ผู้ลงทุนในอาเซียนกำลังมุ่งตรงมาสู่เวียดนามโดยเงินลงทุนส่วนใหญ่มาจาก เกาหลีใต้, ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ซึ่งนักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจกับ FMCG ,อสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรม, สำนักงานสำหรับเช่า และพลังงาน ตามรายงานจาก VnDirect HCM City กลุ่มการลงทุน Temasek ของสิงคโปร์ มีแผนที่จะลงทุน 100 ล้านดอลลาร์กับ Scommerce บริษัทโฮลดิ้งของ Giaohangnhanh บริษัทผู้ให้บริการการจัดส่งที่รวดเร็ว และAhaMove หลังจากลงทุนกับ VNG บริษัทยูนิคอร์นด้านเทคโนโลยีเจ้าของแอพ Zalo ไปแล้ว 100 ล้านดอลลาร์ ตามรายงานจาก DealStreetAsia และตามรายงานจาก Baker McKenzie แสดงให้เห็นว่าเวียดนามยังคงเป็นจุดมุ่งหมายที่ดึงดูดนักลงทุน และจะยังเต็มไปด้วยกิจกรรม M&A อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากตลาดที่มีสภาพคล่องและพหุภาคีFTAs ดีลใหญ่ๆในเวียดนามที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2018-2019 อาทิ BIDV...
เลือกหุ้นพลาด การลงทุนหุ้นเวียดนามนั้น แม้แต่เซียนวีไอไทยยังพลาดได้! ในเรื่องของการลงทุนนั้นหลายคนจะชอบพูด-ชอบฟัง แต่เรื่องของความสำเร็จ ความผิดพลาด ความล้มเหลว มักจะเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากพูด-ไม่อยากฟัง แต่! การเรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่น โดยเฉพาะผ่าน Case study จริงในตลาดหุ้นเวียดนามนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะจะทำให้เราเข้าใจตลาดหุ้นเวียดนามมากขึ้น รวมทั้งมีความรู้ป้องกันไม่ให้เราพลาดตาม จากเงินของเราจริงๆ มาร่วมฟัง Case study ประสบการณ์ลงทุนหุ้นเวียดนามจากปากนักลงทุนวีไอชั้นนำว่า หุ้นอะไร? เจ็บแค่ไหน? เพราะอะไรถึงมองหุ้นนั้นพลาด? รายตัว-รายอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังได้พบกับกองทุนฝรั่งใหญ่ที่สุดที่ลงทุนหุ้นเวียดนามยาวนานกว่า 25 ปี จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน Dragon Capital โดย คุณ Bill Stoops CIO ผู้ซึ่งสื่อการเงินการลงทุนชั้นนำของโลกเช่น Forbes, Morning star, CNBC, Edison group เคยพูดถึง จะมาเล่าให้ฟังว่า Why Vietnam? Why now? เสน่ห์ตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ตรงไหน? ...
Pham Nhat Vuong ประธานบริษัท Vingroup มหาเศรษฐีและผู้บริหารกิจการของเวียดนามคนแรกที่ติดอันดับTop 50 ผู้ทรงอิทธิพลด้าน Theme Park Pham Nhat Vuong ประธานบริษัท Vingroup เป็นมหาเศรษฐีและผู้บริหารบริษัทชาวเวียดนามคนแรกที่ติดอันดับTop 50 ผู้ทรงอิทธิพลด้าน Theme Park ระดับโลกจากนวัตกรรมและความสร้างสรรค์ในการดึงดูดผู้เข้าชม โดย Bloobloop แหล่งข้อมูลออนไลน์ชั้นนำ Bloobloop ได้รับความสนใจจากผู้อ่านกว่า 100,000คนต่อเดือน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีบทบาทสำคัญในการประเมินผล เรื่องอิทธิพลของสวนสนุกและคอมเพล็กซ์ที่ให้ความบันเทิงทั่วโลก โดย Top 50 นี้เป็นการจัดอันดับที่มีผู้มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างเช่น Bill Ernest ซีอีโอของ Saudi Entertainment Ventures, Robert Iger ประธานบริษัทและซีอีโอของ The Walt Disney Company, Roland Mack ผู้ก่อตั้งและเจ้าของ Europa-Park และ Thierry Coup รองประธานอาวุโสและผู้อำนวยการสร้างของ...
โลกในมุมมองของ Value Investor         16 พฤศจิกายน 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร หุ้นร้าว ​สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาของการประกาศงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่นักลงทุนต้อง  “ลุ้น”  กันว่าหุ้นที่ตนเองถืออยู่นั้นจะประกาศผลงานที่ดีขึ้นหรือแย่ลงมากน้อยแค่ไหน  เพราะผลงานที่ดีขึ้นโดยเฉพาะที่ดีเกินกว่าที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนคาดจะทำให้หุ้นวิ่งขึ้น  ในทางตรงกันข้าม  ผลงานที่น่าผิดหวังจะทำให้หุ้นตกลง  ในกรณีของหุ้นขนาดเล็กหรือหุ้นที่ไม่มีนักวิเคราะห์ติดตาม  กำไรที่ดีขึ้นก็มักจะเป็นสัญญาณให้นักเก็งกำไรหรือ “นักปั่นหุ้น” เข้าไปไล่ราคาเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับหุ้นที่ตนเองถือ  สำหรับ VI การติดตามผลประกอบการรายไตรมาศเป็นสิ่งสำคัญที่นอกจากจะช่วยให้เราวิเคราะห์หุ้นที่ตนเองถือต่อเนื่องแล้ว  ยังเป็นเวลาที่จะติดตามดูว่ามีหุ้นตัวไหนที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่น่าลงทุนหรือไม่ ​ไตรมาศ 3 ปี 2562 นี้ดูเหมือนว่าการประกาศงบการเงินจะมีผลกระทบกับหุ้นโดยเฉพาะขนาดกลางและเล็กหลาย ๆ ตัวที่เคยเป็นหุ้นเด่นและนักเล่นหุ้นนิยมเล่นกันมาก  หลังจากประกาศ   หุ้นเหล่านั้นก็ตกลงมาน่าจะประมาณ 10% บวกลบทั้ง ๆ ที่ตัวเลขกำไรก็ไม่ได้เป็น  “หายนะ” บางบริษัทกำไรเพิ่มมากด้วยซ้ำแต่ก็มักจะเป็นกำไรพิเศษในขณะที่ผลประกอบการปกตินั้นแย่ลง  อย่างไรก็ตาม  นี่ก็เป็นกำไรเพียงไตรมาศเดียวและผมเองก็คิดว่าบริษัทไม่ได้แย่ขนาดนั้น  ส่วนใหญ่อาจจะเป็นแค่เรื่อง  “ชั่วคราว” ถึงไตรมาศ 4 ก็อาจจะเปลี่ยนไปโดยเฉพาะถ้าภาวะเศรษฐกิจของไทยดีขึ้นราคาของสินค้าดีขึ้น  คำถามก็คือ  อะไรทำให้หุ้นตกลงมาแรงเป็น 10% บางตัวตกลงมา 2-3 วัน ถึง 20-30% ก็มี ​คำตอบของผมก็คือ  ช่วงเวลานี้  ตลาดหลักทรัพย์กำลังอยู่ในช่วงของการปรับมูลค่าหุ้นให้เหมาะสมกับพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้นแต่ละตัวที่ในอดีตนั้นมีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือมีราคาที่สูงเกินกว่าพื้นฐานหรือพูดอย่างหยาบ ๆ ก็คือค่า PE สูงเกินกว่าความสามารถในการทำกำไรระยะยาวแต่มี Story และมีกำไรเติบโตโดดเด่นในระยะสั้น  หุ้นเหล่านี้มีนักวิเคราะห์และผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวนมากช่วยกันเชียร์และสร้างภาพว่าเป็นกิจการชั้นเยี่ยมและเติบโตดีโดยที่ค่า PE นั้นไม่มีความสำคัญ  และที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ  แรงซื้อเก็งกำไรของนักเล่นหุ้นทั้งขาเล็กและขาใหญ่นั้น  มีมากพอที่จะสนับสนุนและดันราคาหุ้นให้ขึ้นไปได้ตราบใดที่  “กำไรยังโตขึ้นโดดเด่น” ​ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงช่วงนี้ได้ทำให้กำไรโตขึ้นยาก  กำไรที่โตช้าลงหรือน้อยลงมากหรือกำไรที่ลดลงนั้น  คงทำให้คนบางคนที่มีหุ้นอยู่ลดความเสี่ยงโดยการเทขายหุ้นที่ยังได้กำไรอยู่พอสมควร  การขายหุ้นของพวกเขานั้นทำให้หุ้นตกลงมาเพราะแรงซื้อน้อยลงไปกว่าเดิม  นั่น  “จุดชนวน” ให้คนอื่นที่มีหุ้นอยู่เทขายตามมาซึ่งทำให้หุ้นตกลงไปอีก  จนถึงจุดหนึ่งที่ราคาหุ้นไป “Trigger” หรือจุดชนวนให้คนที่เล่นหุ้นตัวนั้นโดยการใช้ Leverage หรือการกู้เงินมาซื้อหุ้นหรือเล่นอนุพันธ์หรือตราสารการเงินที่มีอัตราทดสูงมาก ๆ  เช่น การทำ Block Trade โดยผู้เล่นรายใหญ่และการเล่น DW โดยนักลงทุนรายย่อย  ต้องเทขายหุ้นออกมาจำนวน “มโหฬาร”  เพราะถูก “บังคับขาย”  โดยโบรกเกอร์  ผลก็คือ  หุ้นตกลงมาถึง...
Z Holding หรือ Yahoo Japan โดย Softbank Crop บริษัทระดับTop ด้านโทรคมนาคมและการสื่อสารสัญชาติญี่ปุ่นและผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Alibaba ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามกับเคมเปญ 11.11 ได้เผยว่ามีการเจรจาข้อตกลงควบรวมกิจการกับ Line Corp โดย Never Corp Z Holding หรือ Yahoo Japan โดย Softbank Crop บริษัทระดับTop ด้านโทรคมนาคมและการสื่อสารสัญชาติญี่ปุ่นและผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Alibaba ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามกับเคมเปญ 11.11 ได้เผยว่ามีการเจรจาข้อตกลงควบรวมกิจการกับ Line Corp โดย Never Corp และทาง Line ก็ยืนยันว่ามีการเจรจากันจริงแต่ยังไม่มีการตัดสินใจ โดย Reuter ได้ข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า น่าจะมีข้อตกลงภายในสิ้นเดือนและ Softbank Corp และ Never Corp อาจจะควบรวมกิจการกันในสัดส่วน...
ตามรายงานผลกำไรสามไตรมาสแรกของบริษัทต่างๆในตลาดหลักทรัพย์ของเวียดนาม 85% ยังมีผลกำไรที่เติบโต รายงานผลกำไรไตรมาสที่สาม ในส่วนภาคการธนาคาร Vietcombank (VCB) เป็น Best performer ทำกำไรสุทธิได้ทะลุเกิน 5 ทริลเลี่ยนVND ขึ้นมา 72% เทียบเป็นรายปี ตามรายงานผลกำไรสามไตรมาสแรกของบริษัทต่างๆในตลาดหลักทรัพย์ของเวียดนาม 85% ยังมีผลกำไรที่เติบโต จากข้อมูลที่เผยแพร่โดยบริษัทที่ให้บริการด้านการเงิน Stockplus' Fiinpro Platform มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ 832 บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์เท่ากับ 95% ของมูลค่าหลักทรัพย์ในตลาดทั้งหมด ซึ่งในส่วนที่เหลือก็ทำกำไรได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ รายงานผลกำไรไตรมาสที่สาม ในส่วนภาคการธนาคาร Vietcombank (VCB) เป็น Best performer ทำกำไรสุทธิได้ทะลุเกิน 5 ทริลเลี่ยนVND ขึ้นมา 72% เทียบเป็นรายปีตามด้วย Techcombank (TCB)...
WHAUP บริษัทสาขาของ WHA Utilities and Power บริษัทที่ทำธุรกิจด้านสาธารณูปโภคและธุรกิจด้านพลังงานของไทย ได้ทำข้อตกลงซื้อขายหุ้นกับ Do Tat Thang ผู้ถือหุ้นของ โรงผลิตน้ำ Duong River Surface Water Plant JSC ในเวียดนาม และได้ถือหุ้น 34% ( 33,986,774 หุ้น)ในที่สุดDuong River Surface Water Plant JSC โรงผลิตน้ำขนาดใหญ่ที่ผลิตน้ำประปาให้กับเมือง Hanoi ที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆของเวียดนาม และมีความต้องการการใช้น้ำเพื่ออุปโภคและบริโภคอย่างมาก ซึ่งโรงผลิตน้ำที่ผลิตน้ำจากพื้นผิวดินขนาด65 เฮกตาร์นี้ มีการลงทุนในระยะแรกทั้งหมด 5 ทริลเลี่ยน VND (217.39 ดอลลาร์สหรัฐฯ) จากผู้ถือหุ้นคือ Hanoi Water Co.Ltd.(10%), New Technology Application and Tourism One-Member LLC (Newtatco)(5%), Vietnam-Oman Investment JSC (entrusted...
หุ้นของธนาคารเวียดนามที่อยู่บนอันดับเชิงบวก (overweight)ของ JP Morgan มี Vietcombank (HoSE:VCB), Techcombank (HoSE:TCB), ACB(HNX:ACB) และในผลประเมินระดับกลาง(neutral) คือ VP Bank(HoSE:VPB) ได้รับการคาดการณ์การเติบโตที่ 14-68% ในอีก12 เดือนข้างหน้า เมื่อไม่นานมานี้ Asia-Pacific Securities Research Department ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ของ JP Morgan ได้เปิดเผยรายงานแรกที่เป็นความคิดเห็นเชิงบวก เกี่ยวกับภาคส่วนการธนาคารของเวียดนาม โดยเฉพาะที่ยักษ์ใหญ่ด้านการเงินกล่าวว่า ธนาคารของเวียดนามกำลังกลายเป็นหนึ่งตัวอย่างเล็กๆที่รวมทั้งการเติบโตแบบ high profit และ stable profit ในระยะยาวไว้ด้วยกัน จากมุมมองของ JP Morgan สิ่งเหล่านี้พร้อมกับวงจรเครดิตที่ดี จะเป็นปัจจัยที่จะนำมาซึ่งผลกำไรที่สำคัญให้กับการธนาคารของเวียดนามตลอดทั้งปี หุ้นของธนาคารเวียดนามที่อยู่บนอันดับเชิงบวก (overweight)ของ JP...
โลกในมุมมองของ Value Investor      10 พฤศจิกายน 62 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ​สำหรับคนที่เกาะติดตลาดหุ้นและลงทุนหรือเล่นหุ้นตลอดเวลามานานหลาย ๆ  ปีและ “จำได้” ก็จะพบว่าผลตอบแทนการลงทุนและความนิยมของหุ้นกลุ่มต่าง ๆ นั้น  บ่อยครั้งก็จะมี “รอบ” ของมัน  ความหมายก็คือ  ในช่วงเวลาหนึ่งซึ่งมักจะเป็นเวลาเกินปีหรือบางครั้งก็หลายปี  จะมีหุ้นกลุ่มหนึ่งหรือบางทีมากกว่านั้นที่ผลตอบแทนหรือราคาหุ้นจะเติบโตโดดเด่นเป็นพิเศษ   ตอนเริ่มแรกก็อาจจะมีแค่หุ้นบางตัวในกลุ่มที่วิ่งขึ้นไปแรงมากด้วยเหตุผลต่าง ๆ  ซึ่งรวมถึงผลประกอบการที่เติบโตขึ้นมาก  และเรื่องราวหรือสตอรี่ของบริษัทที่สดใส  รายได้และ/หรือโครงการในอนาคตนั้นจะเพิ่มพูนขึ้นมากจากโครงการทั้งปัจจุบันและอนาคตที่มั่นคงอานิสงค์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เป็น“เมกาเทรนด์”  ประกอบกับความสามารถของบริษัทที่ได้มีการพิสูจน์แล้ว ต่อมาหุ้นที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเดียวกันก็เริ่มวิ่งตามมา  เหตุผลก็แบบเดียวกันนั่นคือ  บริษัทก็มีกำไรที่ดี  มีโครงการใหม่ไม่น้อยไปกว่ากันเท่าไร  และก็เช่นเดียวกัน  มีความสามารถในการแข่งขันไม่ด้อยไปกว่ากันนัก   หลังจากนั้นก็จะมีหุ้นตัวที่สาม  ที่สี่ และต่อ ๆ ไปที่ยังไม่ขึ้นก็จะปรับตัวขึ้นตามกันไป  เหตุผลคงเป็นเพราะว่านักลงทุนและนักเล่นหุ้นต่างก็เชื่อว่าหุ้นในกลุ่มนี้ที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกันจะต้องดีเหมือนตัวแรกและเหมือนกันหมด  เพราะฉะนั้นจะต้องรีบซื้อก่อนที่มันจะขึ้น  ดังนั้นหุ้นจึงขึ้น  และเมื่อหุ้นเริ่มขึ้น  นักเล่นหุ้นคนต่อมาก็จะรีบเข้าซื้อเพราะกลัว  “ตกรถ” ดังนั้น  หุ้นจึงต้องขึ้นต่อไป  กลายเป็น  “รอบ” ของหุ้น  ซึ่งล่าสุดของปรากฏการณ์นี้ก็คือรอบของ “หุ้นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่”  ที่เราเห็นหุ้นของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เกือบทุกตัววิ่งขึ้นไปอย่างแรงเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว รอบของหุ้นนั้นมักจะมาเมื่อภาวะทางอุตสาหกรรมเอื้ออำนวย  และภาวะทางอุตสาหกรรมนั้นก็มักจะอิงอยู่กับภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย  แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจปีต่อปีแต่มักจะเป็นเรื่องของสถานะหรือระดับของความมั่งคั่งของคนไทยที่ก่อให้เกิด “เมกาเทรนด์” ที่เอื้ออำนวยให้กับอุตสาหกรรมนั้น ๆ ดังนั้น  “รอบของหุ้น”ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจจึงมักจะไม่ใช่ลักษณะของวัฏจักรที่จะวนกลับมาเป็นรอบ ๆ  แต่มักจะเป็นลักษณะที่มาแล้วก็อาจจะหายไปเลยไม่หมุนเวียนกลับมาอีกหรือกว่าจะกลับมาก็นานจนลืมไปเลย  ลองมาดูรอบของหุ้นในธุรกิจต่าง ๆ  ที่เคยเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ก่อตั้งดู ยุคแรก ๆ  ของตลาดหลักทรัพย์นั้น  หุ้นที่มารอบแรกนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นหุ้น “Finance” หรือกลุ่มบริษัท “เงินทุนหลักทรัพย์” ที่เป็นทั้งโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้นและเป็นบริษัทเงินทุนซึ่งมักจะปล่อยเงินกู้เช่าซื้อรถยนต์  ปล่อยเงินกู้มาร์จินซื้อขายหุ้น  และต่อมาก็ปล่อยเงินกู้ให้กับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังร้อนแรงเนื่องจากผู้บริโภคคนไทยกำลังเติบโตเป็นหนุ่มสาวจำนวนมากที่ต้องการซื้อบ้านเป็นครั้งแรก  ด้วย   เหตุผลในตอนนั้นก็ชัดเจน  บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มีการเติบโตมหาศาล  บางบริษัทใหญ่ขึ้นมากและเริ่มใช้เทคนิคทางด้านตลาดทุน “สมัยใหม่” เช่น  การเทคโอเวอร์กิจการอื่นที่อาศัยเงินจากการระดมทุนในตลาดหุ้น  ในช่วงท้ายของ “รอบ” นั้น  แม้แต่ธนาคารพาณิชย์เองก็กลายเป็นเป้าหมายของการถูกเทคโอเวอร์  ในส่วนของธุรกิจหลักทรัพย์นั้น  บางบริษัทก็อาศัยความได้เปรียบที่ตนเองอยู่ใน “ศูนย์กลางของตลาด” ทำการ  “ปั่นหุ้น”  ทั้งหุ้นของบริษัทอื่นและหุ้นของตนเองซึ่งทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นมหาศาลโดยที่พื้นฐานของกิจการไม่รองรับ พวกเขาทำได้เพราะว่ากฎหมายหลักทรัพย์ยังไม่มีประสิทธภาพ  กลต. ก็ยังไม่เกิด...

MOST POPULAR